


...ตลอดระยะเวลาที่ผมถูกส่งไปใช้ชิวิตดัดนิสัยในต่างแดน ต้องทำตัวเป็น “แก้วที่รินน้ำไม่เคยเต็ม” เรียนรู้วิถี ทฤษฎีและแนวความคิดในแง่มุมที่กฎเกณฑ์บ้านเราไม่มี หรือไม่ก็แตกต่างกันด้วยประเพณีและวัฒนธรรม อีกทั้ง
ได้เปิดหูฟังเสียงและเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาในภาษาในเวอร์ชั่น BBC ได้เบิ่งตาดูวิถีชีวิตผู้คนผมสีทองตาสีฟ้าเป็นเวลากว่า 10 วัน และยังได้หอบหิ้วหนังสือกฎหมายหลายกิโลฯ แบกจนหลังอาน ข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาอ่านทบทวนต่อที่เมืองไทย 
“เมืองไทย”
และด้วยวิถีชีวิตคนไทย ธรรมดาๆ อย่างผม ...ก็ขอกล่าวคำ “สวัสดี”
กับทุกๆ ท่าน อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติตามวิถีแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ที่เราได้มีโอกาสแวะเวียนมาประสพ พบเจอกันอีกครั้งคราหนึ่ง...ในกระทู้ถ่ายภาพนี้
อนึ่ง...ผมไม่ใช่ผู้รู้หรือ Guru (กูรู้)ใดๆทั้งสิ้นในเรื่องการถ่ายภาพ...และก็ไม่มีคำนำหน้าชื่อของผมแต่อย่างใด ผมเป็นแค่เพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เวลาไปไหนมาไหนชอบพกเอากล้องถ่ายภาพตกรุ่น ไปเพิ่มน้ำหนักให้กับกระเป๋าเดินทาง...ก็เท่านั้นน่ะครับ (และก็ยังขี้เกียจแบกขาตั้งกล้องอีกต่างหาก) เพราะฉะนั้น ภาพที่ผมถ่ายมาได้จึงเต็มไปด้วยความบังเอิญ(หรือเรียกว่า “ฟลุ๊ค” นั่นเอง) ในบางครั้ง บางจังหวะ ผมยังอาศัยความหนาวเหน็บของอากาศ ระหว่างการเดินทาง ทำให้กล้ามเนื้อที่นิ้วกระตุกลั่นชัตเตอร์ซะงั้น ก็พอช่วยให้ได้ภาพมาเติมสีสรรและนำมา Share & Learn กันในกระทู้นี้น่ะครับ
ส่วนกลิ่นไอจะเป็นไปตามหลักการถ่ายภาพแนว Street หรือไม่นั้น ผมไม่รู้ครับ แต่ที่ผมรู้และเป็นความจริงก็คือ ผมเดินไป ถ่ายไปตามถนนหนทางระแวกนั้นล่ะครับ ก็เลยกระแดะจับคำว่า Street เข้ามาจั่วหัวกระทู้น่ะครับ และก็เช่นเคยน่ะครับ หากรสชาติที่ผมปรุงแต่งมา ไม่ถูกปากแต่อย่างใด ติติง แสดงความคิดเห็นกันได้ไม่อั้นน่ะครับ
(ความคิดเห็นของท่าน เป็น “ครู”...นำไปสู่พัฒนาการ...ของผมครับ) 
...ภายหลังจากที่ได้ผมเปิดผ้า buff (ปิดหน้าเพราะอากาศมันเย็นมาก
) ให้เห็นหน้าตาเอเชียด้วยกันแล้ว พร้อมกับส่งคำทักทายและขออนุญาตพ่อ/แม่ของสาวน้อยคนนี้แล้ว...ผมก็สามารถบันทึก “รอยยิ้ม”
ที่ทำให้โลกใบนี้สดใส มาแจกจ่ายแบ่งปันให้กับทุกๆท่านน่ะครับ

...และนี่ก็คือ อุปกรณ์ที่ผมจำเป็นต้องใช้สำหรับเดินทางออกนอกประเทศครับ

แต่สู้ภาวะของสังขารไม่ไหวครับ Jet lack เล่นงานซะอ่วมเลยครับในวันแรก

ชีวิตการเดินทางไปไหนมาไหนในกรุงลอนดอน หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้ชีวิตแบบตัวตุ่นที่อาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน (แอบคิดว่า อยากให้กรุงเทพฯ มีการสร้างโพรงตัวตุ่นแบบนี้ให้เยอะๆ เชื่อมการเดินทางให้เป็น network แบบนี้ แล้วคุณภาพชีวิตของมนุษย์ที่จำเป็นต้องขังตัวเองอยู่ในเมืองกรุง จะหนีจากภาวะรถติดได้...โอมเพี้ยง
(กาลครั้งหนึ่ง ผมก็เคยขังตัวเองให้มีชีวิตในเมืองกรุงมาก่อนครับ)

ผมเดินทางไปถึงที่ลอนดอนช่วงเช้าพอดี และก่อนที่ภาวะ jet lack จะเล่นงานสังขาร ผมก็ต้องรีบเช็คอินโรงแรมจิ้งหรีด เก็บสัมภาระ และรีบออกเดินทางไปตลอนทัวร์ซะหน่อย เริ่มที่ Winsor Castle ก่อนเลยครับ แต่ก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณตัวปราสาทนั้น บังเอิญไปเจอกับขบวนพาเรด จึงต้องหยุดรอขบวนให้ผ่านไปซะก่อน

ก็คงต้องขอถ่ายมุมแอบๆ มองแบบนี้ละกันน่ะ ...ไม่อยากจะแทรกๆ ดันๆ ให้คนหันมามองหน้า แล้วนึกในใจว่า มันคงมาจาก(!?!) แน่ๆ


(แต่ภายในบริเวณตัวปราสาท ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพน่ะครับ ซึ่งสวยมากๆ
) ที่เห็นนี้คือ เจ้าหน้าที่ในบริเวณตัวปราสาทน่ะครับ ผมเห็นคุณลุงแกกำลังก้มหน้าก้มตา เดินถือเอกสารไปไหนซักที่หนึ่ง ว่าแล้วผมก็หลบทางให้แกเดินเหินให้สบายตัวสบายใจไปก่อนล่ะกัน (ผมไม่รีบครับ)

(ไม่ใช่สำเนียง CNN น่ะครับ
) พอหันไปมองหาต้นตอของเสียง ก็ยืนรอให้ต้นตอเสียงเดินผ่านมาในเฟรมนี้ และผมก็ได้ภาพนี้มาครับ


ถ้าเป็นเมืองไทย ใกล้ช่วงเที่ยงของเดือนเมษายน หากเราๆจะพาครอบครัวออกไปปิ๊กนิคมื้อกลางวันกันนั้น ก็คงจะต้องมองหาร่มเงาไม้เย็นๆ แล้วปูเสื่อนั่งล้อมวงกันจกข้าวเหนียว เปิปไก่ย่าง ส้มตำ น้ำตก หรือสารพัดสารพันเมนู ก็ว่ากันตามสะดวกไป
...แต่ที่นั่น เดือนนั้น เวลานั้น ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เห็นแสงแดดไม่ได้ ต้องออกไปนั่งตากแดด ให้ตัวดำ...เอ๊ย!...ไม่ใช่! ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายไง

ใครสนใจจะรับฟังประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ขณะเดินท่องเที่ยวในบริเวณตัวปราสาท ก็สามารถไปรับอุปกรณ์ฟังบรรยายได้ตลอดการท่องเที่ยวในสถานที่แห่งนี้ ส่วนสนนราคาเท่าใด มีกติกาอย่างใดหรือไม่นั้น ผมไม่ทราบน่ะครับ (เพราะถึงให้มา ผมก็ไม่ฟัง...เพราะผมจะถ่ายรูป)


หรือว่าผมไม่เห็นเอง ใครรู้ช่วยบอกกล่าวด้วยครับ)
มีผู้รู้ท่านหนึ่งบอกเล่าว่า เจ้าของสุนัขหรือหมาที่นั่นต้องอบรมมีกิริยามารยาทเจ้าหมาในการออกสังคม โดยไม่แสดงนิสัยรุกรานและทำร้ายใครด้วย
ก็คงจะเหมือนผมที่ถูกส่งมาอบรมกิริยาในครั้งนี้ล่ะมั้ง?

เวลาเที่ยงวันกับการเดินมองเลือกร้านอาหาร ดูเหมือนจะเป็นของคู่กัน...แต่ทริปนี้ มันกลายเป็นของต้องห้ามสำหรับผมครับ
ไม่ใช่อะไรเลยครับ...มันแพง เศษขนมปังที่เหลือตอนมื้อเช้า กับเนยแข็งยังพกมาในกระเป๋าอีกตั้ง 2-3 ชิ้น กับแอ็ปเปิลอีกลูกหนึ่ง กินรองท้องไปก่อนน่ะ
(เดี๋ยวจะไม่มีงบค่าเบียร์มื้อเย็นน่ะ)


ตู้โทรศัพท์สีแดง ของจริง ใช้ได้จริง ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาะอังกฤษน่ะครับ...แต่ทว่า ยุคสมัยได้แปรเปลี่ยนไป จะมีใครซักกี่คนที่จะเข้าไปใช้บริการ
(ลองถามตัวเราเองดูก็ได้น่ะครับ ว่านานแค่ไหนแล้วล่ะครับ ที่เราไม่ได้แลกเหรียญเอาไว้โทรศัพท์จีบสาว)
อีกหน่อย ก็คงจะเป็นแค่ เครื่องประดับข้างท้องถนน (ก่อนที่มันจะแปลงร่างกลายเป็นขยะข้างถนนเมื่อมันไร้การดูแลไปในที่สุด)

แอบนึกในใจว่า อะไรหรือสาเหตุใดที่ทำให้ผู้คนเคารพกฎเกณฑ์ในรัฐ)...มันทำให้ผมนึกถึงพ่อค้าแม่ขายที่รุกล้ำพื้นที่จราจรสาธารณะแถวๆ บ้าน(นอก)ของผม ที่ได้เคยกล่าวถ้อยคำออกมาว่า
“เดี๋ยวนี้...คนไทยเค้าไม่สนใจปฏิบัติตามกฎหมายกันแล้วล่ะ”
พอได้ยินอย่างนั้น แอบนึกดังๆ ในใจคนเดียวว่า ผม(กรู)ก็คนไทยน่ะ ถามกรูซักคำล่ะยังอ่ะ?

ทริปนี้ ผมไปกับน้องในแผนกกฎหมายอีกคนหนึ่ง...มันมีความสามารถพิเศษที่ธรรมชาติได้มอบให้มันมา (คงจะมอบให้มานานแล้วล่ะ
) ในขณะที่ผมใส่เสื้อยีนส์บุด้วยคนสัตว์ด้านในกันลมกันหนาวซะอย่างดี (และยังใส่เสื้อแขนยาวไหมพรมทับอีกชั้นด้านในด้วย) แต่มันบอกว่าอากาศกำลังดีเลยครับพี่...ผมไม่หนาว
...ก็ไม่รู้ซิน่ะ แล้วแต่ละกัน กรูไม่มีความสามารถพิเศษเหมือนเมิงนี่หว่า 
ภาพนี้อยู่ในช่วงระหว่างแยกกันเดินทางกัน “ไปที่ชอบๆ” (ก่อนตาย) ผมมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ
(1) เดินทางไปค้างคืนกับมันในถิ่น Manchester United เพื่อเข้าดูบอลทีมแมนยูฯ ในวันรุ่งขึ้น กับ
(2) ผมต้องถูกทิ้งให้อยู่ในลอนดอนคนเดียว เพื่อเดินทางไปเที่ยวเมือง Oxford ตามหา Harry Potter ด้วยตัวเองและคนเดียว ในวันที่เด็กผีกำลังนั่งเชียร์ทีมที่รักในสนาม...คุณคิดว่า “เด็กหงส์” อย่างผมจะเลือกอะไรล่ะครับ? (ขำๆกันไป อย่าคิดเล็กคิดน้อยน่ะ)


ผมก็เริ่มแบกกล้องถ่ายรูปตกรุ่นออกเดินทาง...เช้าวันอาทิตย์ คงไม่มีใครอยากตื่น ขยับตัวออกจากเตียงนุ่มๆ อุ่นๆ สบายๆ แน่ๆ รวมทั้งตัวผมด้วย...แต่ยกเว้นวันนี้ ทว่า ไม่ใช่มีเพียงผมคนเดียวล่ะครับที่คิดแบบนี้ เพราะผมไม่ได้เป็นลูกค้ารายแรกของร้านนี้แน่นอน