บทวิเคราะห์ในบทเรียนนี้...
ว่าด้วย “ปัจเจกนิยม”
สัญลักษณ์ (Symbol) ยี่ห้อ/ตรา (Brand) เครื่องหมายการค้า (Trademark) เป็นเครื่องมือ (Tool) การตลาดสร้างจุดขาย ก่อรายได้เข้าบัญชี อีกทั้งมูลค่าทางทรัพย์สินทางปัญญาให้กับสินค้า นอกจากนี้ยังทำให้เป็นที่รู้จัก (Well-Known) และได้รับความไว้วางใจ (Trust) ในตัวสินค้า สร้างคุณค่าทางการตลาดให้กับใครๆ ยี่ห้อใด ว่ากันไป ตามที่ใครจะคิดกัน
ลวดลายต่างๆ ที่ละเลงบนเสื้อผ้าก็เช่นกัน...สีโน้นก็ดี สีนี้ก็ใช่ มันจะมีเสียงเรียกขานประการใด ก็เพราะหวังจะให้แก็งค์ของข้าฯ เป็นที่ “รู้จัก” (ในวงการ) นี่คือการสร้าง
“วัฒนธรรม” (Culture) ประจำกลุ่มแก็งค์ ส่วนการคัดสรรสมาชิก ไม่ได้ใช้ระบบ Up-Line หรือ Down-Line แต่อย่างใด แต่จะคัดสรรกันด้วยวิธีการใดนั้น ก็ไม่เคยคิดเสียเวลาไปใส่ใจใคร่รู้เช่นกัน ดังนั้น "การสร้างวัฒนธรรม” แบบนี้จึงเป็นตัวกำหนด...ว่ากลุ่มข้าฯ แก็งค์เอ็งนั้น..มีดีกรีใส่(เสื้อ)สีอะไร
เมื่อตัวข้าฯ มีดีกรีนี่และศรีโน่นอีกทั้งฉายานั่นแล้ว เคยได้รับรางวัลอย่างนี้อย่างโน้น...และอย่างนั้น เมื่อเอามาล้างแช่น้ำแล้วมัดรวมๆกัน ก็จะรู้ได้ว่า...มีน้อยคนนักหนาที่ไม่รู้จักฉัน (เอ็งเป็นดารา...ว่างั้น!?!) การนำเอาดีกรีต่างๆนานา มาผสมผสานเข้ากับตัวบุคคล เป็นการนำเอา "คุณค่าของดีกรีต่างๆ” มาสร้างให้เกิดเป็น
“ความเชื่อ” (Belief) ต่อผู้คนให้ได้รับรู้รับชมการแสดงแสนยานุภาพตามดีกรีหรือสีเสื้อ (เช่น โปรนั่น อาจารย์นี่ ฉายาโน่น ได้รางวัลนั่น ใส่เสื้อสีนี้ เป็นต้น) ความเชื่อนี้จึงถูกใช้ประกบกับคนเด่นในก๊วน เพื่อสร้างวัฒนธรรมประจำแก๊งค์ให้เป็นที่ยอมรับของผู้คนในวงการ เป็นต้น
แต่ใน....
“ความจริง” (Truth) เสื้อผ้านั้น...ไม่ว่าจะมีสีอะไร ต่างก็มีไว้เพื่อสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคน ใช้ปกปิดร่างกาย(มิให้อุจาดสายตา) และป้องกันร่างกาย(ไม่ให้รับรับอันตรายจากสิ่งแวดล้อมภาวะอากาศ) และไอ้ “ความจริง” เช่นว่านี้ ตัวมันเองก็สามารถสะท้อนถึง “ความเชื่อ” และ “วัฒนธรรม” ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่น่าสนใจในบทวิเคราะห์นี้ จึงมีอยู่ว่า
“ทำอย่างไรจึงจะสร้างภาวะสมดุลระหว่าง วัฒนธรรม ความเชื่อ และความจริง เข้าด้วยกัน”
“ทำไมต้องซื้อเสื้อใส่เหมือนกัน (วะ)?” คำถามนี้ ทำให้ผมต้องไปเปิดดูตู้เสื้อผ้า คนโน้นที่ให้มา คนนี้ก็แจกให้ใช้ มันยังอยู่ในตู้ใช้สวมใส่ได้อีกนาน ดังนั้น ณ ปฐมบทนี้ ด้วยความเคารพ ผมจึงขอวิเคราะห์ว่าการ “ซื้อเสื้อ” ตัวใหม่มาพับใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า มันคือ...
“การตามใจใคร” ที่ไม่ใช่การสร้างภาวะสมดุล(วะ)
ผม...ไม่ได้ปฏิเสธ(การสร้าง)วัฒนธรรม และผมก็...ไม่ได้ปฏิเสธในความเชื่อ(ของใคร) เพียงแต่...ผมชอบที่จะเผชิญกับความจริง และตัดสินใจสร้างอีกหนึ่งวัฒนธรรมใหม่...ด้วยการไม่ขึ้นรถตู้ไปอ่างศิลากับใคร และขอสวมใส่อะไรที่อยู่ในวิสัยแห่งสิทธิ
“ปัจเจกนิยม” (Individualism) ก็แล้วกัน