สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 28 มี.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 1 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > อื่นๆ
ความเห็น: 20 - [15 ต.ค. 62, 11:05] ดู: 5,077 - [26 มี.ค. 67, 10:23] ติดตาม: 8 โหวต: 11
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
30 เม.ย. 58, 10:15
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 12 ตอนที่ 1
ภาพที่ 1
บทที่ 12

ตอนที่ 1

          สถานที่ตั้งของหน้าผาหินขนาดใหญ่มหึมา ราวกับกำแพงขนาดยักษ์ที่กั้นขวาง ในยามราตรีเช่นนี้ มันดูคล้ายกับยักษ์ที่นั่งปักหลักแข็งทื่อทะมึนในเงามืด ยิ่งเมื่อมีสายลมพัดผ่านมาตามช่องเขาและแง่หิน ทำให้เกิดเสียง หวีดหวิว ดังครวญคราง ยิ่งเพิ่มความหน้าสะพรึงกลัวยิ่งไปอีก แต่ภายใต้รอยแยกที่เหมือนรอยขวานยักษ์ที่ถูกจามไว้ กลับดูเงียบขนัดราวกับหูดับ แทบไม่ได้ยินเสียงสรรพสำเนียงอะไรเลย ถึงแม้บางจังหวะจะมีลมพายุโหมกระหน่ำสักเพียงใด ก็ไม่อาจจะมีเสียงใด ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้าไปภายในได้

          ภายใต้ความมืดมิด เหมือนถนนหรือเส้นทางไปสู้ขุมนรก ใครจะรู้ว่า ภายในนั้น กลับมีหุบเหวกว้างขนาดใหญ่กันขวาง ราวกับหลุมอุกกาบาต ที่ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ปากหุบเหวที่ราบเรียบไม่มีสิ่งกีดขวาง เหมือนจงใจให้คล้ายกับ กับดัก ที่แม้มีสิ่งมีชีวิตใด ได้ผ่านเส้นขอบเหวนี้ไปแล้ว ก็ไม่สามารถรอดพ้นประตูสู่นรกได้ ราวกับมดตัวน้อยที่ตกหลุมดักของแมลงช้างที่พลาดตกลงไปแล้ว ก็ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น เพราะใครจะรู้ว่า เพียงแง่หิน แง่เล็กๆที่ยืดโผล่มาจากผิวดินไม่เกินศอก ตำแหน่งนี้เอง ที่ปรากฏเส้นเถาวัลย์ขนาดเขื่อง ซึ่งด้านหนึ่งของมัน ถูกม้วนพันไว้อย่างแน่นหนา และอีกด้านทอดลึกลงไปสู้หุบเหว สิ่งที่ปรากฏนี้หาได้เกิดจากธรรมชาติสร้างสรรค์ไม่ ตรงกันข้ามมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์  มนุษย์ที่เพียรพยายามตามหามิตรร่วมทาง

“สิงห์โว้ย”


“วู้ ไอ้สิงห์”พรานเฒ่าที่มีนามว่า โส่ยป้องปากตะโกนโวกๆ หลังไต่มาตามเส้นเถาวัลย์เป็นคนสุดท้าย


“มันรอดแล้วพวกเรา นี้ไง รอยตีนมันเดินให้เปรอะไปหมด”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางส่องไฟฉายสำรวจไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น แต่ไม่ทันที่ทุกคนจะสำรวจรอยเท้าของชายหนุ่ม พรานพรที่เดินสำรวจอยู่ที่แนวกองหินก็ร้องเอะอะมาอีกคน


“เฮ้ย พวกเรามาดูทางนี้เร็ว”เสียงเรียกอย่างเอ็ดตะโร ของพรานพร ทำให้กลุ่มคนทั้งหกพากันวิ่งกรูเขาไปสมทบ บริเวณกองหินที่ขึ้นสลับซับซ้อน

“รอยไอ้สิงห์มันเข้าไปในซอกหินนี่”

“รอดแล้ว รอดแล้ว ไอ้สิงห์มันไม่ตาย”พรานพรร้องบอก พร้อมๆกับเหล่ากะเหรี่ยงพากันกอดคอกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปีติยินดียิ่ง

“เบาๆโว้ยพวกเรา ไหนลองเรียกมันดูสิ”

“ดีไม่ดี มันออกจะหลบอยู่ข้างในนั้นล่ะ”พรานแปะร้องปราม ขณะส่องไฟฉายเข้าไปในซอกหินนั้น

“เออ เข้าที”

“พี่สิงห์”

“พี่สิงห์ วู้...”

“พวกเรามารับพี่ขึ้นไปแล้ว ออกมาเถอะ”เสียงเคิ้งป้องปากตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไร้วี่แววการตอบสนองใดๆจากบุคคลที่ตัวเองหวังว่าจะอยู่ด้านใน

“ตามมันเข้าไปเลยดีกว่า”

“มันชักแปลกๆ”พรานเบร้องบอก อย่างครุ่นคิด

“ก็ดีเหมือนกัน รอเรียกจนคอแตกแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร”

“ข้าร้อนใจเต็มทนแล้ว”พรานโส่ยร้องบอก

“ไปๆ ไปกันดีกว่า เผื่อมีอะไรเกิดกับมันขึ้น จะได้ช่วยไว้ได้ทัน”เหน่อร้องบอกอย่างร้อนใจ

“เดี๋ยวข้านำเข้าไปก่อน พวกเอ็งค่อยๆตามกันมาล่ะ”

“ช่องมันแคบนิดเดียว ทิ้งระยะกันไว้ด้วย เกิดอะไรขึ้นมา จะได้หนีออกมาได้ทัน”พรานเบร้องบอกคณะ พูดจบก็มุดผ่านเข้าไปตามช่องหินนั้น

ภายใต้เส้นทางที่แคบ และสลับซับซ่อน ทั้งหมดต่างค่อยๆคืบคลานไปอย่างช้าๆ เพราะสภาพอันคับแคบของซองหิน หรือไม่ก็ถ้ำแห่งนั้น บางตอนก็เดินได้อย่างสบาย และบางช่วง ก็ต้องค่อยๆมุดและคลาน และบางช่วงก็เป็นทางแยก ทำให้ผู้นำทางเกิดความลังเลใจ แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถเคลื่อนขบวนได้ต่อ เพราะร่องรอยของชายผู้สาบสูญมีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ ทั้งรอยเท้าตามพื้น รอยถลอกตามผนังหิน ซึ่งอาจจะเกิดจากการครูดถูของเป้หลัง หรือแม้แต่กระป๋องเปล่า ของอาหารกระป๋อง ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้พรานนำทาง และทุกคนที่ออกติดตามดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง

“ดูนั่น”

“มันรอดแน่ล่ะแบบนี้”พรานเบร้องออกมาอย่างดีใจ พลางก้มลงไปหยิบอาหารกระป๋อง ที่ภายในว่างเปล่า

“เหมือนมันมาพักอยู่แถวนี้”

“นี้ไง มีบ่อน้ำอยู่อีกแอ่ง สงสัยมันขุดไว้แน่ รอยยังใหม่ๆอยู่เลย”พรานพรโพล่งมาอีกคน หลังจากแยกเดินออกไปสำรวจอีกทาง

“แล้วมันไปไหนของมันว่ะนี่”

“แทนที่จะอยู่ระแถวนี้”เหน๋อร้องบอกด้วยความสงสัย

“คงจะมีเหตุจำเป็นหรอกน่า”

“ข้ารู้นิสัยมันดี เป็นข้า ข้าก็ไม่รอหรอก”พรานแปะเสวนาด้วยอีกคน

“มึ งนี้ก็วุ่นวายจริงๆ”

“ไปไกลๆเลยไป๊”พรานชราร้องเอ็ดตะโร พลางไล่เตะเจ้าพะเปรียวที่ตอนนี้เดินเกะกะคณะไปหมด

“ช่างมันปะไร”

“มีหมามาด้วยนะดีแล้ว มันจมูกดึกว่าคน”พรานเบร้องปราม

“ว่าไปก็น่าสงสารไอ้พะบอง”

“ไม่น่ามาตายเลย ดูไอ้พะเปรียวสิ มันคงเสียใจที่เพื่อนมันตาย”เจ้าพุ่มร้องบอก ก่อนจะนั่งลงแล้วเอามือลูบหัวเจ้าพะเปรียงอย่างเอ็นดู

“อย่าเสียเวลาเลยพวกเรา”

“ไปต่อดีกว่า”พรานนำทางร้องบอกคณะ ก่อนจะมุดหายเข้าไปในซอกหิน

ทุกระยะที่ทุกคนก้าวผ่าน ต่างเห็นร่องรอยที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ให้เห็นเป็นระยะ ทั้งโดยเจตนา เช่น รอยขูดขีดเป็นลูกศร ตามผนังถ้ำ ส่วนที่ไม่เจตนาแต่บังเอิญทำให้ง่ายต่อการแกะรอย มีตั้งแต่ เศษน้ำตาเทียนที่หยดเป็นจุดๆ รอยเท้าที่เดินย่ำไว้ และรอยไถลลื้นตามโขดหินชัน ซึ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มได้ไต่ไปตามเส้นทางนั้น

“เฮ้ย เลือดอะไรเปรอะไปหมดวะนี่”

“ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์โว้ย”พรานเบร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นรอยเลือดหยดเป็นทาง

“มันชักไม่ดีแล้วว่ะ”

“ดูนี่สิ ตามผนังก็มีเลือดเปรอะไปหมด”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน

“แต่ข้าว่าไม่ใช่เลือดคนนะ”

“กลิ่นมันแปลกๆ”พรานแปะร้องบอก หลังจากใช้ปลายนิ้วแตะรอยเลือดขึ้นดม

“อือหือ...เหม็นเขียวชะมัด”

“คาวยังกะกบ”เคิ้งพูดจบก็เช็ดปลายนิ้วที่ตัวเองแตะเลือดกับผนังถ้ำ

“เฮ้ยมาดูอะไรทางนี้”

“ตัวอะไรของมันวะ”พรานเฒ่าร้องเสียงสั่น พลางฉายไฟไปที่ซากของสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง

          ท่ามกลางสายตาทุกคน เศษซากสัตว์ปริศนาที่ดูยับเยินจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ราวกับเศษผ้าขี้ริ้วขะมุกขะมอม ที่ขาดวิ่น เศษขนที่หลุดออกมาเป็นกระจุก หลุดออกมาเป็นก้อนๆผสมเลือดดูเกรอะกรัง เศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ดูแหลกยับ จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นชิ้นส่วนไหนของร่างกาย แม้แต่เจ้าพะเปรียวเมื่อก้มลงไปดมพิสูจน์ซาก ยังถอยหนีหางจุกตูดเพราะกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย

“บ่าง หรือ ค้างคาว”

“แต่หน้าตามันดูแปลกๆ”พรานเบวิเคราะห์ พลางใช้ปลายมีดเหน็บเขี่ยพลิกซากตัวประหลาดกลับไปกลับมา

“ข้าว่าบ่าง”

“มันเหมือนจะมีหนังตรงนี้ ดูนี่เหมือนปีก”พรานแปะร้องบอกอีกคน

“ค้างคาวแม่ไก่หรือเปล่า”

“บ่างมันไม่อยู่ในถ้ำนา”พุ่มแย่ง

“ไม่เห็นจะเหมือนสักนิด ข้าว่าไม่ใช่”

“ไอ้ตัวนี้มันเขื่องกว่าเยอะ”พรานเฒ่าวิเคราะห์

“จะตัวอะไรก็แล้วแต่”

“ที่สำคัญ มันมาตายอยู่แถวนี้ได้อย่างไงกัน”พรานพรร้องบอกอย่างสงสัย

“ถ้าไม่มาทางเดียวกันกับเรา ก็คงข้างหน้าเรานี้ล่ะ”

“แต่คิดๆไป ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”พรานเบร้องตอบอย่างพินิจ

“ใช่ๆ ข้าก็ว่าแบบเอ็งไอ้เบ”

“แก่จนปูนนี้แล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบ

“ไปกันต่อดีกว่า จะตัวอะไรก็ช่างมัน”

“เสียเวลามามากพอแล้ว”พรานเบร้องทัก ทำให้คณะทั้งหมดพากันเก็บข้าวของแล้วเดินทางต่อ

โดยการนำทางของพรานเบ ซึ่งเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นทุกขณะ อาจเป็นเพราะสิ่งผิดปกติที่ตัวเองได้พบเห็น ซากตัวประหลาด ที่ตัวเอง หรือ แม้แต่คนอื่นๆก็ไม่อาจจะสามารถตอบได้ว่ามันคือ สัตว์ชนิดใด และคราบเลือดที่เกาะเกรอะกรังไปหมด ทำให้เกิดความร้อนใจเพิ่มขึ้นไปอีก

บนเส้นทางที่สลับซับซ้อน และวกวน แต่ก็ไม่ทำให้คณะลดฝีเท้าลงไปได้ อันเนื่องมาจากสภาพของพื้นที่ ที่อำนวยต่อการค้นหา ทั้งเส้นทางที่เริ่มกว้างขวางมากขึ้น ถึงแม้จะมีโขดหิน ที่ทุกคนจะต้องไต่ข้ามผ่านไป แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญอะไรเลย เพราะจิตใจของแต่ละคนจดจ่ออยู่ที่บุคคลผู้สาบสูญ จนทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อย และยิ่งได้เห็นเค้าโครงและร่องรอยของชายหนุ่ม ยิ่งเพิ่มกำลังใจให้ฮึกเหิมมากขึ้น

ในคณะที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้นเอง อยู่ๆหัวขบวนที่มีพรานเบเป็นคนนำทาง ก็เกิดหยุดชะงักเอาเสียดื้อๆ ทำให้คนที่เดินตามกันมาไม่ทันระวังตัว ต่างเดินชนกันจนล้ม ทำให้เกิดเสียงเอะอะเอ็ดตะโรกันวุ่นวาย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหัวขบวน นอกจากลำไฟฉาย ที่ฉายลำแสงฉาบไปบนกองวัตถุชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง

ท่ามกลางแสงไฟ ของไฟฉายหลายดวง ที่ส่องกวาดไปมารอบทิศทาง ภายใต้เงามืดนั้นเอง ที่ปรากฏกองกระดูกของสัตว์ขนาดใหญ่กองขาวโพลนไปหมด ซึ่งทุกคนที่เห็นต่างตอบได้ว่า สิ่งนั้นคือกระดูกของช้าง แต่มันเป็นมากมายมหาศาล จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ที่เห็นเป็นกองทับถมอยู่นั้น จะมีซากช้างสักกี่ตัว

“เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่”

“ข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่ล่ะ”พรานชราตอบเสียงสั่น ขณะที่จ้องมองกองกระดูกตรงหน้าตาไม่กระพริบ

“ป่าช้าช้างชัดๆ”

“มีแต่ช้างตัวใหญ่ๆทั้งนั้นเลย”พรานพรร้องบอก พลางส่องไฟสำรวจกองกระดูกช้าง

“ม..มะ..มันมี ยะ..อยู่จริงหรือนี่”

“คิด..วะ..ว่ามีแต่ในนิทาน นี่ของจริงใช่ไหมพี่แปะ”เจ้าเคิ้งกระซิบบอกพรานแปะเสียงสั่น

“นะ..นี่ ล..ล่ะของ จ..จริง”

“ขอ..ของแท้..นะ..แน่นอน”พรานแปะกระซิบตอบเจ้าเคิ้งเสียงไม่ต่างกัน

“มีแต่ช้างงาทั้งนั้น”

“ดูอันนี้สิ ยาวท่วมหัวเข่าเลย”พรานเบร้องบอก พลางเดินไปลูบคลำงาช้างกิ่งหนึ่ง ที่ล้มพาดอยู่ที่กองกระดูก

“ถ้าขนไปหมดนี่ได้”

“มีหวังพวกเรารวยกันเละ”พรานพรร้องบอก พลางเดินสำรวจสุสานช้าง

“จริงพี่พร”

“มีแต่งางามๆทั้งนั้น แค่อันนี้อันเดียว คงได้หลายตังค์”เจ้าพุ่มบอกมาอีกคน ก่อนจะยกงากิ่งหนึ่งขึ้นมาอุ้มเล่น

“เอ็งอย่าคิดอะไรแบบนั้น”

“ถ้ำนี้มันต้องคำสาบ มันมีอาถรรพ์”พรานเบร้องเตือนสติเพื่อนร่วมคณะ ก่อนที่จะสาวเท้าออกไปยืนขวางทุกคน ที่ต่างพากันเดินสำรวจงาช้าง แล้วพูดเสียงเฉียบขาดขึ้นมาว่า

“พวกเอ็งทุกคนลืมไอ้สิงห์ไปแล้วหรือ”

“เรามาตามหามัน ไม่ได้มาเอางาช้างไปขาย”

“เจ้าป่าเจ้าเขาอาจจะลองใจพวกเราก็ได้”พรานเบร้องบอก

“จริงอย่างที่น้าเบแกพูด”

“อย่ามัวเสียเวลากับมันเลย ไอ้งง งาอะไรนี่ ตามหาไอ้สิงห์แล้วเอาชีวิตรอดกลับบ้านเราดีกว่า”เหน๋อร้องเตือนสติคณะอีกคน ทำให้อีกหลายๆคนที่พากันสนใจงาช้าง ต่างหยุดชะงักแล้วถอยเข้ามารวม
กลุ่มกันอีกครั้ง

“ไปต่อดีกว่า”

“พวกเอ็งฟังดีๆ ได้ยินอะไรอย่างที่ข้าได้ยินมั๊ย”พรานเบร้องบอก

“โน่นทางโน้น ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงน้ำไหล”

“บางทีอาจจะเป็นทางออกก็ได้”พรานนำทางร้องบอกด้วยความมั่นใจ ก่อนจะสาวเท้าไปยังตำแหน่งของเสียงที่ได้ยิน ทำให้คณะทั้งหมดเคลื่อนขบวนอีกครั้ง

บนเส้นทาง ที่ขนาบด้วยผนังหินทั้งสองด้าน หลังจากเดินหลบเหลี่ยมมุมของผนังถ้ำนั้น ก็ปรากฏเส้นทางคล้ายถนนเส้นใหญ่ ซึ่งกว้างพอที่ช้างตัวใหญ่ๆจะเดินเบียดเข้ามาได้ เส้นทางนั้นเริ่มลาดต่ำลงไปทุกขณะ สภาพอากาศและพื้นผิวที่เดินย่ำผ่าน ก็เริ่มมีความชื้นเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆกับเสียงอึกทึกของแผ่นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เส้นบางช่วงก็มีก้อนหินใหญ่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน หรือบางตอนก็มีหินงอกหินย้อยกันขนาบเป็นกำแพง ราวกับลูกกรง ซึ่งพรานนำทางให้ความสนใจตำแหน่งนี้เป็นพิเศษ เพราะรอยเท้าของชายหนุ่มได้หยุดหายลงเพียงเท่านี้

“มันชักแปลกๆ”

“อยู่ๆรอยไอ้สิงห์ก็หายไปเฉยๆ”พรานเบร้องบอกคณะแข่งกับเสียน้ำตกที่ดังกระหึ่ม

“เอ็งดูดีหรือยังไอ้เบ”

“ทางโน่น ลองดูสิว่ามีรอยมันบ้างหรือเปล่า”พรานพรร้องบอกมาอีกคน ก่อนจะส่องไฟฉายสำรวจไปทั่วบริเวณ ก่อนจะพูดต่อมาอีกว่า

“ทางนี้ก็ไม่มีเลย”

“พื้นมันแฉะขนาดนี้ ถ้ามันผ่านมาก็คงเห็น”พรานพรร้องตอบ พลางฉายไฟสำรวจพื้นที่อีกครั้ง

“ข้างล่างมันน่าจะเป็นเหว”

“ไอ้สิงห์คงไม่เดินตกลงไปหรอกนา”พรานชราร้องบอก พลางส่องไฟฉายต่ำลงไปจากขอบหน้าผาหิน ที่เป็นตำแหน่งสุดท้ายที่พบรอยเท้าของชายผู้สาบสูญ

“เอาไงดีไอ้เบ”

“ถ้ามันชักไม่ได้การณ์ซะแล้ว”พรานเฒ่าร้องบอกพรานนำทาง

“เป็นไปได้มั๊ย”

“ถ้าไอ้สิงห์มันจะพลัดตะลงไป”พรานนำทางตอบแบบใช้ความคิด

“น้ำมันแรงขนาดนี้ ตกลงไปจะไปเหลืออะไร”

“มันอาจจะเดินเลาะไปตามทางนี้ก็ได้ ใครมันจะบ้าโดดเหวลงไปซ้ำสอง”พรานแปะร้องทัก พลางส่องไฟสำรวจเส้นทางที่ตัวเองสงสัย แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะร่องรอยที่ตัวเองคิดไว้ กลับไม่ปรากฏให้
เป็นแม้แต่นิดเดียว

“ออกไปตั้งหลักก่อนดีกว่า”

“เดินออกไปอีกนิดเดียว ก็เห็นทางออกแล้ว น้ำมันฉ่ำพื้นขนาดนี้ บางทีอาจจะลบรอยตีนไอ้สิงห์มันหมดก็ได้”พรานพรร้องบอกคณะ หลังจากเดินออกไปสำรวจเส้นทางก่อน

“เอาไงดีไอ้เบ”

“ข้าก็ว่าที่ไอ้พรมันว่ามาก็มีเหตุผล”

“ดีไม่ดี อาจจะเจอไอ้สิงห์ข้างหน้านี้ก็ได้ อยู่ตรงนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา”พรานโส่ยร้องบอกมาอีกคน

“ก็เข้าทีดีนาน้าเบ”

“นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว ข้าว่าออกไปตั้งหลักข้างนอกก่อนดีกว่า ฟ้าสว่างคงเห็นอะไรได้ถนัดกว่านี้”พรานแปะร้องเสริม  หลังจากทั้งหมดปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ก็สรุปออกมาได้ว่า ทั้งหมดควรออกไปตั้งหลักกันด้านนอกดีที่สุด เพราะสภาพแวดล้อมภายในถ้ำนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการค้นหา รวมไปจนถึง ร่องรอยของชายผู้สูญหายก็ไม่ปรากฏให้พบเห็นอีกเลย นับตั้งแต่ขอบหน้าผาของน้ำตกนั้นที่พบเป็นจุดสุดท้าย และอีกปัจจัยที่สำคัญหนึ่งคือ สภาพของแต่ละคนต่างสะบักสะบอมอ่อนเพลียไปตามๆกัน อีกทั้งข้าวปลาอาหารที่ไม่ได้ตกถึงท้องเกือบ 24 ชั่วโมง แต่ด้วยความอึดและความทรหดของแต่ละคน ทำให้ยังคงเก็บอาการได้เป็นอย่างดี

          ทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากได้รับสัญญาณจากพรานนำทาง ต่างคนต่างมานะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะสอดส่องสายตาหาร่องรอยของชายผู้สูญหายทุกฝีก้าว สิ่งใด หรือ มีวัตถุชนิดใดที่ทำให้ระแคะระคายต่อการสำรวจ ก็ต้องหยุดตรวจสอบและพิจารณา ทั้งรอยหินพลิก หรือรอยน้ำที่ขุ่นข้นเป็นแอ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากชายหนุ่มที่เหยียบย่ำไว้ แต่หลังจากช่วยกันพิจารณาจนแน่ใจว่าไม่ใช่ เพราะเท่าที่สังเกตน่าจะเป็นรอยของช้างที่เดินย่ำไว้เป็นรอยเก่ามากแล้ว ทั้งหมดก็เคลื่อนขบวนต่อ...

*****การเดินทางของคณะผู้ติดตามต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร และเหล่าสหายทั้งหมดจะได้พบกันหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป*****

ผิดพลาดหรือ ตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพรต้อง ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024