สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 27 เม.ย. 67
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1. : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 15 - [7 ต.ค. 52, 12:37] ดู: 2,996 - [26 เม.ย. 67, 18:35] โหวต: 6
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ป.ประจิณ (232 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
6 ก.ย. 52, 22:49
1
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 1
                                                                                           
                                                                                                      ชุดตกปลาหานิพพาน

      เข้าพรรษาสามเดือน เป็นช่วงที่ผมหยุดตกปลาเช่นเคย เพื่อใช้เวลานี้ปลูกป่า และภาวนาอยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็ไปตามสถานที่สัปปายะ สำนักสงฆ์ มีพระสายป่าจำพรรษาอยู่ ภาวนาทำไม ? หลายคนคงตั้งคำถาม แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับชีวิต กับการตกปลา เด็ดดอกไม้ยังสะเทือนถึงดวงดาว แล้วเอาชีวิตเขาเราจะไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือไร?
    หนาวนี้คือการเดือดเนื้อ ร้อนใจ ทุกข์ใจ ที่มีสาเหตุต่าง ๆ กันไปทั้งจากตัวเอง ครอบครัว เพื่อนฝูง หน้าที่การงาน ของรักของหวง สิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย และการที่จะดำรงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย จนถึงวันที่ต้องจากโลกนี้ไปอย่างมีความสุข ถึงจะตกปลาเราต้องก็ให้บุญกับปลาด้วย แต่ถ้าเราไม่ให้ล่ะ จะรับฝ่ายเดียวหรือ ?

      ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ไม่มีใครอยากตาย  ทุกคนต่างก็รักและหวงแหนสถานภาพของตังเองเป็นที่สุด มิใยต้องพูดถึงการฆ่าชีวิตผู้อื่น มีผลต่อกันแน่นอน ไม่มีของฟรีบนโลกใบนี้ ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกันไม่อย่างไดก็อย่างหนึ่ง  ต้องชดใช้และตอบแทนกันตามควรแก่เหตุที่ทำ ไม่วันนี้ก็วันหน้า ชาตินี้หรือชาติหน้า จนกว่าจะสมดุลย์กัน จะกำไรหรือขาดทุน ต้องอาศัยบุญกุศลเท่านั้นเป็นคำตอบสุดท้าย
    แล้วบุญกุศลจะได้มาจากทางไหนล่ะ ? เรื่องนี้เราเป็นชาวพุทธคงไม่ต้องพูดยาว  แต่อยากเอามะพร้าวมาขายสวนหน่อย พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ทาน ศีล ภาวนา คือที่สุดของทางสายเอกนี้ เริ่มจากทานก่อน
        การให้ทานแก่คนหรือสัตว์ มีผลตามหลักพระพุทธศาสนา ให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉานได้ผลร้อย เท่า ปุถุชนผู้ทุศีลได้ผลหมื่นเท่า ปุถุชนผู้มีศีลแสนเท่า  ให้ทานแก่ผู้ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติผล หรือพระอริยะสงฆ์ พระสกาทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ผลยิ่งไม่อาจนับประมาณได้เลย 
      จากทานก็มาสู่ศีลที่บริสุทธิ์ได้  ศีล แปลว่า ปรกติ เย็น หนักแน่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว ดีงาม เบาสบาย โล่ง ว่าง สงบ ระงับ ทั้งศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 ข้อของพระ ศีล หรือ “ศิลา” มีลักษณะของความมั่นคง หนักแน่นเหมือนก้อนหิน เหมือนขุนเขานั้นเอง
    ทุกศาสนาย่อมมีข้อห้าม ข้อพึงงดเว้น สิ่งที่ไม่ควรประพฤติปฏิบัติด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่เรียกข้อห้ามนั้นแตกต่างกันออกไปศาสนาพุทธเรียกว่า “ศีล” คริสต์เรียกว่า “บัญญัติ 10 ประการ” อิสลามเรียกว่า “บทบัญญัติ 5 ประการ”
                                               
                                                 
                                                       
                                                   
                                           
                                                               
                                                                 

   
     
   

     
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 2


    คนถ้าไม่มีศีลก็จะไม่แตกต่างจากสัตว์ทั่ว ๆ ไป อาจร้ายกว่าสัตว์ด้วยซ้ำ ศีลทำให้คนเป็นมนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง สามารถควบคุมกาย วาจา ใจ ให้สงบ ร่มเย็น เป็นสุข และเป็นหัวใจในการปฏิบัติธรรมอันสำคัญยิ่ง ต้องเริ่มจาก ศีล สมาธิ ปัญญาไปตามลำดับ ถ้าไม่มีศีลก็จะต่อยอดไม่ถึงสมาธิ และจะเกิดปัญญาไม่ได้ การศึกษาทางโลกจบปริญญาตรี โท เอก ก็แค่เครื่องหาอยู่หากิน ตามความรู้ที่ร่ำเรียนมา หาใช่ปัญญาไม่
    ปัญญาจะเกิดได้จากการภาวนา การฟัง การพูด การคิด การขีดเขียน ด้วยกำลังของสมาธิ มีสัมมาสติ จนเห็นรูปนามตามความเป็นจริงผ่านทาง สติปัฏฐาน 4 เป็นเทคนิคขั้นสุดยอดทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ตรัสว่าสติปัฏฐานนี้เป็นทางสายเอก เพื่อบรรลุถึงความบริสุทธิ์เข้าสู่มรรคผลนิพพาน สติปัฏฐาน 4 คือการนำสติไปวางไว้ที่ฐานทั้ง 4 ประกอบการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน
    กายานุปัสนา  กำหนดสติไปรู้ไว้ที่กาย รู้ลมหายใจเข้าออกทุกขณะ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือเดินจงกรม
    เวทนานุปัสนา  เอาสติไปรู้ไว้ที่ความรู้สึก พิจารณาสุข ทุกข์ เวทนา ชอบ เกลียด รัก ดีใจ เสียใจ เฉย ๆ
จิตตานุปัสนา เอาสติพิจารณาจิต ว่าขณะนี้จิตของเรามีราคะ โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน รู้ว่าจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ธรรมานุปัสนา คือการใช้สติพิจารณาธรรม ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการเกิดดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้แจ้งอริยสัจ 4
      อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐสุด 4 ประการ คือ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางสู่ความดับทุกข์  (ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค ) หรือรู้ความจริงของชีวิตที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีภพชาติ หมุนเวียนกันไปตามแรงกรรมจนนับแสน นับล้านชาติ เป็นกองกระดูกเท่าภูเขาเลากา เพราะความไม่รู้จึงต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่เช่นนี้
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 3


  ธรรมะก็คือธรรมชาติ การเข้าถึงธรรมะคือการเข้าถึงธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่กับเราตลอดเวลา ในทุกสรรพสิ่งรอบ ๆ ตัว ทุกการกระทำ ที่เรียกว่ากรรม เป็นตัวสำคัญที่แยกคน สัตว์ เทพ ออกมาจากภพภูมิต่าง ๆ ใน 31 ภพภูมินี้ ล้วนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ด้วยกันทั้งนั้น  ไม่มีใครจะหนีกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน สถานที่บรมสุข ไม่มีการเกิด ดับ อีกต่อไป
    ใน 31 ภพภูมิที่มนุษย์และสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิดนี้ เปรียบเสมือนตึก 31 ชั้น ๆ ที่ 5 เป็นของมนุษย์ ต่ำลงไปชั้น 4-1 เป็นเดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก สูงขึ้นไปชั้น 6-11 เป็นของเทวดา ชั้นที่ 12-27 เป็นของรูปพรหม และชั้นที่ 28-31 เป็นของอรูปพรหม ชั้นดาดฟ้าเปรียบเสมือนพระนิพพาน  เป็นชั้นที่ขึ้นไปยากที่สุด
    ไม่มีทางลัดของเหล่าสัตว์และทวยเทพทั้งหลาย จะไปนิพพานได้ต้องมาเกิดภพภูมิที่ 5 เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ มีกิเลส ตัณหา โมหะ โทสะ โลภะ แล้วค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะลด ละ เลิก สร้างบุญ สร้างกุศล เจริญสติด้วยการตามรู้กาย จิต อยู่เป็นนิจจนเกิดปัญญามีดวงตาเห็นสัจธรรม เห็นว่าจิตนี้ กายนี้ ไม่ใช่ของเรา เป็นของชั่วคราวที่เรายืมธาตุ 4 ของโลกมาใช้  ดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันชั่วขณะหนึ่งจนเป็นตัวตน บุคคล เรา เขา สัตว์ สิ่งของต่าง ๆ  และมีจิตของจักรวาลมาอาศัยอยู่ในสิ่งที่เป็นชีวิต
  จิตของจักรวาลดวงนี้จะหมุนเวียนไปตามภพภูมิต่าง ๆ ข้างต้น ด้วยอาศัยแรงดึงดูดของกรรม  เกิด ดับไปตลอดเวลาด้วยตัวของเขาเอง  ห้ามไม่ได้ ลองสังเกตจิตของตัวเราเองให้ดี ๆ ว่าในหนึ่งวัน หนึ่งนาที จิตแอบไปคิดได้เป็นแสน เป็นล้านครั้ง เดี๋ยวก็คิดดี คิดชั่ว เดี๋ยวก็สุขก็ทุกข์ โดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะจิตเขาทำหน้าที่ของเขาเองได้ เขาไม่ใช่ตัวเรา ของเรา
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 4
 
  แต่เราเรียนรู้เขาได้ด้วยจิตอีกดวงหนึ่งที่เรียกว่า “จิตผู้รู้”  ก็เป็นจิตดวงเดียวกันเกิด ดับ ทีละครั้ง เป็นจิตคนละดวง ดูยากมากต้องอาศัยกำลังของสมาธิเป็นฐาน ถึงจะเห็นอาการของจิต เห็นแล้วเราจะเข้าใจชีวิตของตัวเอง จิตใจของผู้อื่นด้วย ในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีจริง แปลก !
      เหมือนกฎแห่งแรงโน้มถ่วงที่นิวตันค้นพบ จากปรากฏการณ์การตกของลูกแอ๊ปเปิ้ล เช่นเดียวกับมนุษย์โลกหลายพันล้านคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนั้น เห็นผลไม้ตกเป็นล้าน ๆ ๆ ครั้ง  แต่ไม่มีใครเฉลียวใจที่จะค้นหาความจริงนี้...จะว่าไปแล้วสิ่งที่นิวตันค้นพบ ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบมาก่อนนั่นเอง... ตลอดไปจนถึงทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์ไตน์ก็เช่นเดียวกัน พระพุทธองค์ตรัสรู้ถึงความจริงของทฤษฎีเหล่านี้มาก่อน เป็นที่สุดแห่งความจริงแท้เรื่องเดียวกันคือ การเกิดดับ อนัตตา หนทางแห่งการหลุดพ้น แม้เวลาจะผ่านมาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ก็ยังมีคนเข้าใจน้อยมาก
      ทฤษฎีสัมพันธภาพและสสารพลังงานของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชี้ให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของเวลาและมวลสาร ทำให้สามารถประยุกต์ใช้อธิบายความเข้าใจในรูปนาม เวลา วิปัสนาญาณในระดับต่าง ๆ ได้อย่างดี ในขณะที่ระบบประสาทสัมผัสทางกายของมนุษย์ ไม่สามารถพิสูจน์ความจริงแท้ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นของหยาบจำกัดด้วยเรื่องคาบเวลา ปกติเวลาของจิตภายในกับเวลาของกายภายนอกจะเท่ากัน ถ้าสร้างความแตกต่างได้ เราจะเห็นการเกิดดับได้อย่างชัดเจน
      การเห็นอนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โลกและจักรวาลก็ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์นี้ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์สาขาใด ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ ฯลฯ สอดรับกับทฤษฎีของไอน์สไตน์ ที่พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เวลาเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง จะยืดออกหรือหดเข้า จนหายไปเลยก็ได้ เมื่อเราทำสมาธิจนถึงขั้นเวลาภายในหยุด จะพบว่าการเกิดดับคือจุดเดียวกัน จะเข้าถึงอนัตตา สุญญตา สัจธรรมความจริงแท้ต่าง ๆ ของโลกและจักรวาลจะผุดขึ้นมา จนได้ดวงตาเห็นธรรม
    ทำไมคนทั่วไปหรือนักตกปลา...ถึงจะต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ? เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้า หรือนักวิทยาศาสตร์ค้นพบมันเป็นสัจธรรม เป็นความจริงแท้แน่นอนที่เกี่ยวพันกับทุกชีวิต ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม  และให้ผลตลอดชีวิตทั้งด้านดี ด้านร้าย...ที่สามารถพิสูจน์ได้ถึงที่มา ที่ไป จากผู้มีญาณหยั่งรู้นั้น ยิ่งเป็นมนุษย์ยิ่งต้องศึกษาให้เข้าใจ เพราะเป็นชั้นที่เสี่ยงภัย ว่าจะขึ้นหรือลงใน 31ภพภูมินั้นทีเดียว 
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 5

 
  สมมุติว่าถ้าผลกรรมทำให้เราไปเกิดในภพภูมิที่ 4 เป็นสัตว์เดรัจฉาน ตระกูลไก่ในเข่ง  มีชีวิตที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจนครบ 45 วัน ตอนนี้กำลังเดินทางไปเข้าโรงเชือด เลือดต้องไหลนอง ท้องถูกผ่า เครื่องในโดนล้วงออกมา แล้วเอาไปต้มยำทำแกงในที่ต่าง ๆ ถ้าเป็นร้านไก่ย่าง จะมีเหล็กมาเสียบหมุนไปตามไฟร้อน ๆ จนสุก หอมได้ที่ ก็มีช้อนส้อมมาเสียบเนื้อ ฉีกเข้าปากของมนุษย์ผู้หิวโหย  จนเหลือแต่กระดูก หมาก็รอท่า มดก็รอแทะ ถ้าเราเห็นตัวเองในร่างไก่...
        ถ้าเป็นอาหารให้มนุษย์ที่ดีมีศีล ปฎิบัติธรรม หรือพระอริยสงฆ์ ไก่ก็จะได้ผลบุญนั้นถึงกับข้ามภพชาติเลยทีเดียว ไม่ว่าจะโดนบังคับข่มขืนฆ่า หรือโดดเข้ากองไฟ เช่นแม่ไก่ แต่เลือดเนื้อที่สละให้เป็นทาน ล้วนมีผลต่อกันไปทุกชาติ จนกว่าจะได้ตอบแทนกันเสร็จสิ้น แล้วเมื่อไหร่ล่ะ?
      การเอาปลาขึ้นจากน้ำที่เรียกว่า “เกมส์กีฬา” หรือทำมาหากินเช่นชาวประมงก็ล้วนหนีไม่พ้นจากกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ อยู่ที่ตัวของผู้ล่าว่าจะเข้าใจกฎข้อนี้หรือไม่เท่านั้น และจะทำอย่างไร
    ถ้าไม่เข้าใจ คิดว่ายิ่งได้มากยิ่งดี ยิ่งล่าก็ยิ่งมัน หาทุกวิถีทางที่จะเอาชีวิตเขาให้ได้ไม่ว่าจะด้วยอุปกรณ์อะไร วิธีไหน ภาพแห่งความกระหาย โหด เลว ดี นี้จะประทับไว้ภายในจิตใต้สำนึก ที่จะทยอยให้ผลออกมา ในด้านดี ร้าย  ตามมโนภาพที่ฝังไว้ในจิตส่วนลึก...เมื่อโอกาสเหมาะสม
    วิธีที่จะลบล้างภาพนั้นออกไปให้ได้ก็ด้วยการทำดี สำนึกดี  บำเพ็ญทานบารมี ภาวนา รู้บุญคุณเป็นการตอบแทนต่อชีวิตเขา ที่ให้ความบันเทิง และเป็นอาหารแก่เรา...อย่าได้จองเวรกันนะ
      นักวิทยาศาสตร์ นักคิด นักเขียนเอกของโลก ล้วนอาศัยภาพในจิตใต้สำนึก ( ภวังคจิตค์ ) เป็นหัวหอกนำความคิด ก่อนที่จะออกมาเป็นงานประดิษฐ์ ขีดเขียน วรรณกรรมจนคนทั้งโลกตะลึงในผลงาน แต่เจ้าของผลงานกลับเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ก็เพราะสิ่งที่เขาค้นพบก็มีอยู่ในธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเราอยู่แล้ว...จิตที่มีกำลังของสมาธิ สัมมาสติก็จะเห็นในสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น แม้จะเป็นคนที่มีความรู้ร่ำเรียนมาสูง ๆ ก็ตาม ดังที่ไอน์สไตน์พูดว่า “จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้”
 
    ครั้งหนึ่งเมื่อไปงานแข่งขันตกปลาที่แสมสาร ผมได้มีโอกาสคุยกับนักตกปลา นักเขียนรุ่นพี่ สมชาย รัชตะ เรานั่งรถไปด้วยกัน และลงเรือลำเดียวกันที่บางเสร่ของกัปตันรังสรรค์ 1 วัน 1 คืน โดยพี่เจนศักดิ์ และเฮียเฒ่า เป็นนักกีฬาผู้เข้าแข่งขัน ได้ปลากุเลาเป็นรางวัลพิเศษมา 1 รางวัล ก็นับว่าดีแล้วกับทะเลบริเวณนี้ หมึกก็หายากมาก ปั่นไฟครึ่งคืนได้มาสัก 20 ตัว แต่ก็ใช้ไม่หมด เพราะหมดปลา จนกัปตันส่ายหัวไม่รู้จะไปหมายไหน แต่ก็ใจดีให้เบอร์ดาวหมายชายฝั่งผมมาเพียบ ต้องขอบคุณในน้ำใจไต๋ไทย ถึงทะเลจะยากไร้ด้วยจำนวนฝูงปลา
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 6

 
      ผมคุยกับพี่สมชายหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องที่เขียนมาข้างบน ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นการขีดเขียน พล็อตเรื่อง มุมมอง ฉาก แก่น สไตล์ เทคนิค โครงเรื่อง พี่สมชายเขียนหนังสือมาก่อนผมประมาณ 20 ปี ผมติดตามงานของพี่ท่านมานาน ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องมาเขียน วันนี้เจอะกันก็ต้องขอความรู้มาแบ่งปันกันหน่อย
“พี่มีหลักอะไร? ในการเขียนหนังสือ” ผมถามแบบเจาะใจนักเขียนดังในอดีต...ตอนนี้ถ้าเขียนคงจะดังกว่าเก่า
“หลักอะไร... คุณเขียนทีหลังดังกว่าผมอีก ผมต้องถามคุณซี ฮิฮิ”
“เอางั้นรึ...ผมเขียนมันออกมาจากความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด เขียนไปตามที่ใจปราถนา” ผมตอบไปจากใจจริง เช่นที่ “ยาขอบ”  ผู้เขียนเรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” ชี้ทางไว้ให้นานกว่า 50 ปี
“แล้วใคร...เป็นเป็นครูคุณ ?”  เอ้า !
“พี่จะเอาครูไทย หรือครูเทศ” พี่สมชายหันมามองหน้า  จนรถเกือบจะฝ่าไฟแดงที่พัทยา
“ทำไมมีหลายครู... เอาทั้งสอง...”
“ผมชอบอ่านหนังสือ จึงมีครูพักลักจำอยู่ทั่วไป ที่พอจำได้ ลีโอ ตอลสตอย, เช็คสเปียร์, ตอสโตเยสกี้, เกอเต้ ,เฮมิงเวย์,ขงจื๊อ, หลูซิ่น,  มีอีกมากที่เป็นสุดยอดนักเขียนต่างประเทศ
“แล้วนักเขียนไทยในดวงใจล่ะ...?”
“ก็มี...ศรีบูรพา , ยาขอบ , เสนีย์ เสาวพงศ์, พนมเทียน , วาณิช จรุงกิจอนันต์ , อาจินต์ ปัญจพรรค์ , ประภัสสร เสวิกุล , วินทร์ เลียววาริณ , หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ,อีกหลายท่าน...นับไม่ถ้วน”
“อ่านมากมายขนาดนี้ แค่จะเขียนเรื่องตกปลา” ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร...ใครช่วยตอบที
“ไม่เป็นนักอ่าน...อย่าได้ริเป็นนักเขียน...นักเขียนใหญ่ทุกท่านสอนไว้” ผมเล่าถึง “ยาขอบ” ให้พี่สมชายฟัง ยาขอบเป็นนักเขียน นักรัก มีเมียถึง 5- 6 คน ความเจ้าชู้ของท่านสะท้อนอยู่ในตัวละครเอกของเรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” นาม “จะเด็ด” ยอดขุนพลนักรักที่มีเมียมากกว่ายาขอบ ผู้ประพันธ์เรื่องนี้เสียอีก ฮา ฮา...
“ดูว่าคุณจะชอบงานเขียนของยาขอบ...เขามีอะไรดี ?”
“เขียนจากการปฏิบัติเข้ามาหาทฤษฎี และความจริงอยู่ตรงไหน...จับเอาให้ได้ความจริงนั้น” พี่สมชายอมยิ้ม อย่างเข้าใจดี เพราะงานเขียนของพี่ท่านล้วนออกมาดี ถึงแม้จะหนักไปทางวิชาการหน่อย ก็เหมือนการเป็นพ่อครัว สูตรใครสูตรมัน จะต้องรู้ว่าเรามีวัตถุดิบอะไร  อาหารจะออกมาแบบไหน อร่อยหรือไม่ ถ้าตัวเองทานไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะมีใครทาน...งานเขียนก็เช่นกัน
“แล้วนักเขียนต่างประเทศล่ะ...คุณชอบใคร ?”
“ตอลสตอย เขาเป็นนักเขียนที่มีคุณธรรม เฮมิงเวย์ก็ชอบผลงานเขา แต่ไม่ชอบการใช้ชีวิต สุดท้ายต้องฆ่าตัวตายด้วยปืน...เสียดายอีก 500 ชาติกว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์”
“อยากฟังเรื่องของตอลสตอย”
“ได้เลย แค่คร่าว ๆ เท่าที่จำได้ และที่บันทึกไว้”
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 7

 
“  ลีโอ  ตอลสตอย  ผู้เป็นบูรพจารย์แห่งโลกวรรณกรรมคนหนึ่ง ตอลสตอยมิใช่เป็นนักเขียนชื่อดังของชาวรัสเซียเท่านั้น เขายังเป็นนักเขียนเอกของโลกอีกด้วย เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1828
    เมื่อเยาว์วัยเขาเป็นเด็กที่ช่างสังเกตุ และช่างคิด แต่ก็ไม่มีแววว่าจะเป็นเด็กฉลาดปราดเปรื่องแต่อย่างใด พอโตเข้าโรงเรียนได้หน่อย ดูว่าเขาจะไม่ค่อยมีน้ำอดน้ำทนในกฎเกณฑ์ข้อบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เขาเกลียดมาก คือการทำการบ้านส่งครู
    นิสัยที่เด่นชัดที่สุดของเขาก็คือ เป็นเด็กที่มีความรู้สึกไหวง่าย อดทนในการสังเกตุ และค้นคว้าหาความจริง ทำให้เขาไม่ค่อยคลุกคลีกับหมู่เพื่อนฝูง เขาเป็นเด็กช่างคิด ช่างฝัน และชอบนั่งซึม ๆ อยู่ในที่เงียบสงบนับเป็นชั่วโมง ๆ
    แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะปราศจากความสนุกสนานเสียทีเดียว เขาชอบติดตามบิดาไปยิงนก ตกปลา และล่าสัตว์ตามทุ่งกว้าง และท้องถิ่นชนบทต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเกมส์กีฬาของผู้ดีใสสมัยนั้น
  วัยฉกรรจ์เขาเข้ารับราชการทหาร ออกรบรอนแรมไปตามป่าเขา อันเต็มไปด้วยภยันตราย และการต่อสู้อันนองเลือด ทำให้เขาเริ่มรู้รสของการทำสงคราม และบาดเจ็บ เขาใช้เวลาว่างจากการพักรบ เขียนเรื่องราวของสงครามครั้งนั้น ลงในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ
  หนังสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีคนอ่านกันกว้างขวางทั่วโลก และทำให้ตอลสตอย กลายเป็นนักเขียนเอกของโลกไป ได้แก่เรื่อง “สงครามและสันติภาพ”
    ตอลสตอยถึงจะยิ่งใหญ่ ร่ำรวย มั่งคั่งจากทรัพย์สมบัติต่าง ๆ แต่เขาก็ไม่สบายใจนัก ในการใช้ชีวิตอย่างสุขสมบูรณ์เหนือชาวบ้านทั่วไป  เขาเริ่มหันมาศึกษาในเรื่องศาสนา หลักธรรมต่าง ๆ ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเป็นหนังสือเล่มใหญ่ และมีสาวกผู้ปฎิบัติตามกันอย่างกว้างขวาง
    เขาบอกว่าจุดประสงค์ ความสุขอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ก็คือความสงบ และต้องคำนึงว่าความสุขนั้นจะต้องตั้งอยู่ในทางที่ดี มีเมตตากรุณาต่อกัน ปราศจากความโลภ โทสะ และความรุนแรงทั้งหลาย ทั้งต่อมนุษย์และสัตว์ ละเว้นการดื่มสุรายาเมา น่าสังเกตว่าหลักธรรมของตอลสตอย ตรงกับหลักธรรมของศาสนาพุทธเรามาก
    ชีวิตเขาในบั้นปลาย เป็นชีวิตที่สละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง เขาดำรงชีวิตอยู่อย่างง่าย ๆ พอเพียง กินผัก เขาบริจาคทรัพย์สินของเขาทั้งหมดที่มีอยู่ให้กับคนยากจน หลังแบ่งให้ภรรยาแล้ว เขาจะขออยู่อย่างคนยากจน ช่วงหลังเขาเจ็บออด ๆ  แอด ๆ ผอมจนใบหน้าซูบซีด และหมองคล้ำเมื่ออายุ 80 ปี เข้าสู่ขั้นชราภาพมาก ทรุดหนักขึ้นเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง
    แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งพระยามัจจุราชได้ ตอลสตอยผู้กลัวความตายมาตลอดชีวิต มาบัดนี้ดูเขาไม่กลัวต่อมันเสียแล้ว เขาพูดด้วยเสียงอันแผ่วว่า “สิ้นสุดกันทีชีวิตฉัน” ปี ค.ศ. 1910 เขาก็จากไป”
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 8
   
“เป็นไงพี่...มันมีบางส่วนคล้ายชีวิตผม...นาน ๆ ได้เจอะคนคอเดียวกัน คุยเสียให้จุใจเลย”
“สุดยอดประจิณ... คุณเอามายำอย่างไร ?” เสียงเพลงเบา ๆ “รักจางที่บางปะกง”จากวิทยุมีคำตอบที่สมบูรณ์
“พี่ฟังเพลงลูกทุ่งนี่นะ... ชื่อเพลง บทนำ เนื้อเรื่อง ท่อนแยก ตอนจบ มันให้ภาพพจน์ของงานเขียนเรื่องหนึ่งเลย... มีอารมณ์หลากหลายมาก”
“แล้วนักเขียน...วงการตกปลาไทย คุณคิดถึงใคร”
“เฮียถัง...แร้งเฒ่า เขียนดัง...แต่ไปก่อนวัยอันควร และเพื่อน ๆ อีกหลายคนด้วย”
“คุณคิดว่าทำไม ? คนดังถึงจากลาไปเร็วนัก...ทั้งของไทย และต่างประเทศ”
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...ไม่ได้ใช้หลักธรรมนำชีวิต สุรา นารี บุหรี่ ยาเสพติด หรือคิดแต่จะล่า จะฆ่าเขาอย่างเดียว ทำให้จิตมันมีแต่อกุศล บุญไม่ค่อยทำ กรรมเลยให้ผลเร็ว”
“แล้วจะทำแบบใหนถึงจะดี ?”
“ทำบุญ ทาน ถือศีลบ้าง  ตอนยังไม่ได้ตกปลา ขณะเดินทาง อยู่บนรถ เรือ หรือที่บ้าน ควรภาวนาไว้ในใจตลอด... แล้วอุทิศส่วนกุศลที่เรามีให้เขา”
“ผมพอจะเข้าใจ เอ้า !...แล้วใครมันจะเชื่อคุณ”
“ผมยำใหญ่ใส่ธรรมะ...ใส่จานมาให้ถึงที่แล้ว”
“รอคนมาทาน”
“...ใช่...เข้าพรรษา 3 เดือนผมจะภาวนา และอุทิศส่วนกุศลให้นักเขียนใหญ่ มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม” แล้วแต่จิต แล้วแต่บุญที่สะสมมา
“สาธุ.......”
                                                      ................ จบ ...............
ยำใหญ่ใส่ธรรมะ 1.
ภาพที่ 9
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024