สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 29 เม.ย. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 ตอนที่ 1 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 3 - [25 มี.ค. 64, 14:29] ดู: 1,535 - [27 เม.ย. 67, 07:45] โหวต: 2
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
10 มี.ค. 64, 16:03
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 ตอนที่ 1
ภาพที่ 1
บทที่ 13

(ตอนที่ 1)

          แสงอาทิตย์ในยามสาย เปล่งประกายรัศมีและความร้อน แต่ในป่าทึบดงดิบเช่นนี้ มันกลับทำให้มีความรู้สึกอบอุ่น ต้นไม้ใหญ่ดูหนาทึบ ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น จนดูเขียวครึ้มไปทุกหนแห่ง ตัดกับสีแดงส้มตามหน้าผาหินปูน ที่เหมือนใครแกล้งนำสีไปแต่งแต้มดูวิจิตรตระการตา ตลอดจนทุกสันเขาที่ปรากฏให้เห็น หน้าผาและภูเขาแต่ละลูก ดูสูงทะมึนจนเสียดฟ้า ซึ่งบางครั้งต้องแหงนมองจนคอตั้งบ่า พืชพรรณนานาชนิดมีมากมายเหลือคณานับ บางช่วงบางตอนก็ดาษดื่นไปด้วยต้นไม้ที่มีผลให้เก็บกิน ทั้ง มะเดื่อ มะไฟ ระกำ ลูกหวายที่ห้อยอยู่เป็นพวงก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป มันเป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ไม่สามารถพบเห็นได้จากป่าภายนอก ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของความหายนะ ราวกับหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยเปรอะเปื้อนมลทินใดๆ

          สายน้ำที่คดเคี้ยว ยังคงไหลเอื่อยไปตามช่องเขา บางช่วงบางตอนก็เชี่ยวกราด ดังอึกทึกไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ แก่งหินน้อยใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำ ดูเกลี้ยงเกลาเพราะถูกกัดเซาะมาเป็นเวลานาน ตามริมตลิ่งที่กระแสน้ำไหลเอื่อยเพราะตื้นเขิน มองเห็นกรวดทรายมากมายหลากหลายสี รวมทั้งหมู่ปลาเล็กปลาน้อยที่แหวกว่ายอยู่เป็นกลุ่มๆ เพราะพวกมันพากันหลบภัยจากปลานักล่า ทั้งปลากระสูบ ปลาเวียน ที่จับกลุ่มรอจังหวะฉวยโอกาสอยู่ในแอ่งน้ำที่ลึกกว่า นอกจากพวกมันจะต้องคอยระวังภัยจากปลานักล่าด้วยกันแล้ว นักล่าที่อยู่บนบกก็มีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนกกระยาง ที่เดินเลาะเลียบตามชายตลิ่ง นกกาน้ำที่ยืนตัวดำทะมึนกางปีกผึ่งแดดนิ่งอยู่บนคอน สูงขึ้นไปบนกิ่งไผ่ที่โน้มลงมา นกกระเต็นที่มีปากขนาดใหญ่สีแดงส้ม ดูผิดรูปเมื่อตัดกับลำตัวสีน้ำเงินเข้มของมัน สายตาที่คมกริบจับจ้องอยู่ที่ฝูงปลาเบื้องล้าง เมื่อได้จังหวะ ก็ทิ้งตัวลงมาราวกับหอกที่ถูกพุ่งลงน้ำ เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ก็โผล่พรวดบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไผ่ พร้อมกับรางวัลความสำเร็จในปากของมัน มันเป็น วัฏจักร ห่วงโซ่ อาหาร ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป

          ชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกตัวขึ้น เพราะเสียงกรอบแกรบของกรวดหินริมน้ำดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เมื่อค่อยๆเปิดเปลือกตา ก็พบเข้ากับกวางสองแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่พากันลงมากินน้ำ ห่างจากเขาออกไปไม่เกินสองวา เจ้ากวางแม่ลูกอ่อนเมื่อเห็นชายหนุ่มนอนนิ่งอยู่ก็หันมามองด้วยความสงสัย แต่ไม่กี่อึดใจก็ก้มลงกินน้ำตามปกติ แลดูแล้วเหมือนสัตว์เชื่องๆตามสวนสัตว์ที่ไม่ตื่นคน ก่อนที่มันจะผละกระโจนเข้าละเมาะไป มันและลูกน้อยของมันยังหันกลับมามองชายหนุ่มด้วยความฉงน พวกมันคงคิดว่า สัตว์ป่า หรือตัวชนิดอะไรหนอ มานอนเล่นอยู่ริมน้ำกลางดงทึบแห่งนี้

          ชายหนุ่มค่อยๆยันกายขึ้น ก่อนที่จะสะบัดหน้าไปมาไล่ความมึนงง เมื่อหันไปสำรวจรอบๆบริเวณ กองไฟที่เคยก่อไว้เมื่อคืนที่ผ่านมา ตอนนี้เหลือแต่ขี้เถ้าขาวโพลน ส่วนปลายของท่อนฟืนที่เผาไหม้ไม่หมด ยังคงมีควันไฟคลุกรุ่นอยู่เบาบาง ถัดออกไปใกล้ปากโพรงที่เคยเข้าไปหลบพวกค้างคาวผี ยังมีหอกไม้ปลายแหลมวางพาดอยู่ห่างๆกัน สอง สามเล่ม เป้หลังที่ซุกไว้ภายในโพรงหินนั้นยังอยู่ตำแหน่งเดิม ส่วนบริเวณพื้นกรวดนั้น มองเห็นคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง ซึ่งคงจะเป็นเลือดของพวกค้างคาวผีพวกนั่น ส่วนตำแหน่งที่ตัวเองนอนพังพาบอยู่นั้น มีเพียงผ้าขาวม้าที่ถูกปูรองต่างฟูก มีท่อนไม้อีกท่อนต่างหมอน

          “พลับพลึง” ชายหนุ่มอุทานขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะลุกพรวดพราดขึ้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา หล่อนคนนั้น บัดนี้ได้อันตรธานหายไปไหนเสียแล้ว ตักที่เคยหนุนนอนในตอนนี้มันกลับกลายเป็นเพียงท่อนไม้ขนาดเขื่อง หรือมันเกินจากภาพหลอนของตัวเขาเอง ซึ่งอาจจะทำให้สติสัมปชัญญะขาดหายไป หรืออาจจะเป็นเพราะพิษของบาดแผลที่มือของเขาหรือไม่ ที่แผงฤทธิ์ทำให้ส่งผลต่อจิตรประสาท จนเกิดเป็นอาการหลอนต่างๆ แต่เมื่อพิจารณาบริเวณพื้นที่โดยรอบ ร่องรอยคราบเลือด และเศษซากของพวกค้างคาวนรก ก็ยังคงปรากฎ มันชี้ชัดว่ามันไม่ใช่ภาพหลอนหรือความฝันแต่อย่างใด

          และแล้วชายหนุ่มก็ต้องสะดุดตากับอะไรชนิดหนึ่ง ที่วางเด่นอยู่บนก้องหินราบเรียบก้อนหนึ่ง ในทิศทางของกวางแม่ลูกอ่อนคู่นั้น ห่างออกไปร่วมสองวา ลักษณะของมันเป็นห่อใบตองสี่เหลียมขนาดเขื่อง ใบตองยังดูเขียวสดเหมือนเพิ่งถูกตัดมาใหม่ๆ ด้วยความมึนงง เมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อวันก่อน เขาแน่ใจว่าเจ้าห่อใบตองชนิดนี้ เขาไม่ได้เป็นคนทำหรือได้พบมาก่อน

          “ห่ออะไรกันนี่ มันมาจากไหนกัน” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆตรงไปที่ห่อใบตองปริศนาห่อนั้น เมื่อค่อยๆเปิดออก ก็พบเขากับความมหัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะภายใต้ห่อใบตองปรากฏ หัวมันเทียนขนาดข้อมือสี่หัว แต่ละหัวยาวประมาณสองคืบ มันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เศษดินหรือแม้แต่เศษรากฝอย ไม่ปราฏกให้เห็นแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันถูกขัดล้างทำความสะอาดมาเป็นอย่างดีที่สุด

          “คงไม่ใช่ใครที่ไหน”

          “คุณเองสินะครับ....คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มรำพันกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะคว้าดอกช้างกระที่วางซุกอยู่ในห่อใบตองนั้นขึ้นมาพิจารณา

          “ขอบคุณนะครับ ที่คอยช่วยเหลือผมมาโดยตลอด”ชายหนุ่มกลั่นถ้อยคำออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วค่อยๆบรรจงเก็บดอกช้างกระดอกนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ซึ่งตำแหน่งนี้เอง มันตรงกับหัวใจของเขาพอดี

          ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบสุมไฟใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเชื้อไฟกองเดิมที่ยังพอคลุกลุ่นมีเชื้ออยู่บ้าง กองไฟกองใหม่ ก็ถูกก่อขึ้นมาอย่างง่ายดาย หลังจากนำหัวมันเทียนที่ได้มานั้น หมกขี้เถ้าทิ้งไว้ทั้งสี่หัว  จากนั้นก็ผละไปที่เป้และกองเสื้อผ้าที่ตากผึ่งบนลานหิน อาหารจำพวกเนื้อแห้งหมดไปเมื่อก่อนค่ำวันก่อน ตอนนี้เหลือเพียงอาหารกระป๋องอยู่เพียงชิ้นเดียว และเขาคิดว่าจะเปิดกินเมื่อถึงคราวจำเป็นมาถึงขีดสุด ในใจก็ยังคิดไม่ออกว่า ถ้าหมดจากของสิ่งนี้แล้ว อาหารมื้อต่อๆไปจะทำเช่นไร ลำพังถ้าเป็นพรานกะเหรี่ยงแบบเพื่อนร่วมทาง ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะพวกเขาเหล่านั้น ต่างล้วนแล้วแต่เป็นลูกไพรด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับเขาที่เป็นคนเมือง เห็นท่าคงจะลำบากในสถานการณ์เช่นนี้ แต่แล้วราวกับสวรรค์ประทานพรหรือนรกยังไม่พร้อมที่จะต้อนรับเขา เพราะเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา กลับพบเข้ากับห่อเสบียงและอาหารปริศนา เปรียบเสมือนสายใยแห้งชีวิต ที่พอจะหล่อเลี้ยงให้อยู่ต่อไปได้ ซึ่งมันได้สร้างกำลังใจให้เขาได้ต่อสู้กับโชคชะตาขึ้นมาอีกครั้ง

          มันเทียนหมกสุกจนส่งกลิ่นหอมฟุ้ง พร้อมกับสัมภาระที่ถูกบรรจุลงเป้อย่างลวกๆ อาหารเช้ามื้อแรกแสนจะธรรมดา แต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร รสหวานที่ได้สัมผัสปลุกความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้อย่างประหลาด ราวกับว่าได้กินหรือเสพอาหารทิพย์ของเทวดานางฟ้า เพียงแค่หัวมันแค่หัวเดียวที่กินเข้าไป กลับรู้สึกอิ่มจนแน่นท้องไปหมด ใช่สิ อาหารของเทวดา นางฟ้า โดยเฉพาะนางฟ้าจำแลง ที่มีนามว่า พลับพลึง

          หลังจากอาหาร และน้ำดื่มที่ชายหนุ่มกวักขึ้นดื่มกลั้วคอ จนรู้สึกอิ่มแปล้ ส่วนมันหมกที่สุกอีกสามหัว ชายหนุ่มใช้ใบตองห่อเก็บเป็นเสบียงเหน็บไว้ข้างเป้สะพาย จากนั้นก็มาสำรวจเนื้อตัวและร่างกายของตัวเองอีกครั้ง นอกจากรอยถลอกตามเนื้อตัวไม่ได้มีบาดแผลฉกรรจ์ ที่หนักสุดก็คงเป็นแผลบนฝ่ามือเท่านั้น ซึ่งเกิดจากคมเขี้ยวของอสูรกายมีปีก แต่บัดนี้เนื้อบริเวณนั้นดูดีขึ้นมากกว่าก่อน รอยแผลที่เป็นรูโบ๋จากเขี้ยว มาตอนนี้เริ่มปิดชิดกัน อาการอักเสบปวดระบมที่เคยสัมผัส เปลี่ยนมาเป็นเสียวแปลบเมื่อถูกบีบหรือกดลงบนแผลนั้นแรงๆ โดยรวมแล้วเป็นไปในแนวทางที่ดี ที่เหลือก็รักษาตามอาการเพียงแค่ใส่ยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่

          “ท่านจงตรองดูเถิด สิ่งใดที่นำพาท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ สิ่งนั้น จักนำทางท่านย้อนกลับไปเอง” ชายหนุ่มนึกย้อนถึงถ้อยคำของหญิงสาว

          “เราก็คงต้องเดินทวนน้ำไปสินะ”

          “ไม่รู้ว่ามาไกลขนาดไหนกัน แต่ก็ต้องลองเสี่ยงดู”ชายหนุ่มรำพึงขึ้นมาเบาๆ

          เมื่อนึกย้อนไปถึงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็ไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า จากจุดแรก ที่เขาพลัดตกลงมาจากเหวนรก ตอนที่หนีช้างป่าครั้งนั้น ถึงจะรอดตายมาได้ ก็ต้องมาหลงงมอยู่ในขุมนรกใต้ดินอีกนาน ซึ่งก็กะเวลาไม่ถูกว่าติดอยู่ภายในนั้นนานแค่ไหน แถมต้องมาเผชิญกับค้างคาวผีสิงอีก แต่ดูเหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาว่า ได้พบกับสุสานช้าง ซึ่งเป็นปลายทางที่พบกับแสงสว่างของทางออก แล้วต่อจากนั้นภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ดับวูบไป ก่อนที่จะมารู้สึกตัวอีกครั้งก็มาโผล่เอาที่ดินแดนลี้ลับแห่งนี้

          ลมพัดมาตามทิวเขาอีกวูบเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้ชายหนุ่มได้เริ่มออกเดินทาง ปล่อยให้สายน้ำได้ไหลไปตามทิศทางของมัน ซึ่งก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกันว่า มันจะสิ้นสุด ณ ที่ใดของดงดิบแห่งนั้น เบื้องหน้าที่เป็นทิศทางที่เขาจะต้องบุกบั่นไปนั้น ก็ไม่สามารถบอกได้อีกว่า มันจะจบในรูปแบบใด แต่ที่แน่ๆบนเส้นทางแห่งนี้คงไม่ได้สะดวกง่ายดายเหมือนถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้ามถ้าจะเปรียบ ก็คงจะเหมือนประตูนรก ที่เปิดอ้าต้อนรับ หากเกิดผิดพลาดขึ้นมา ยมทูต ที่คอยท่าเขาอยู่ก่อนแล้ว ก็คงกล่าวคำว่า ยินดีต้อนรับ

          ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามชายน้ำ โดยยึดเดินตามริมฝั่งที่ทอดยาวคดเคี้ยว ตลอดเส้นทาง ทั้งสองฟากฝั่งนั้นดาษดื่นไปด้วยไม้พรรณต่างๆที่ดูแปลกตา ไม้ใหญ่หลายต้นดูสูงทะมึน กลืนไปกับทิวเขาสูงชันที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลัง ต้นไม้บางต้นก็โดดเด่นผิดแปลกไปกับหมู่ไม้อื่นๆ เพราะลำต้นใหญ่โตมหึมาชนิดที่ว่า แหงนมองคอตั้งบ่า เห็นแต่พุ่มใบสูงลิบ บางต้นก็ทรวดทรงเหมือนไม้บอนไซในกระถาง งดงามวิจิตรตระการตา ผิดไปก็คือขนาดที่ใหญ่โต เมื่อเทียบกับตัวเขา ก็เปรียบเสมือนมดปลวกตัวเล็กๆ

          พื้นที่ทางเดินริมน้ำ กลาดเกลื่อนไปด้วยกรวดหินหลายหลายสีสันดูเกลี้ยงเกลา ทำให้ชายหนุ่มเดินทางผ่านไปได้อย่างสะดวก เพราะโปรงโล่งไม่มีสิ่งใดกั้นขวาง นานๆครั้งที่ต้องผ่านแก่งหินสูงใหญ่ และกอไม้หรือท่อนซุงล้มขวาง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพียงแค่เดินอ้อมเบี่ยงหรือเดินลอดมุดผ่านไป ก็สามารถผ่านไปได้ หลายครั้งก็หยุดพัก แวะเก็บกินผลไม้ป่า ที่มีให้เก็บกินได้อย่างมากมาย ผลไม้ป่าบางต้นมีร่องรอยของสัตว์กัดกินทิ้งรอยให้เป็นอยู่เกลื่อนไปหมด โดยเฉพาะผลไม้ป่าที่มีรสชาติหวาน กล้วยป่าก็มีอยู่มากมาย แต่ก็จนปัญญาที่จะเก็บกิน เพราะแต่ละต้นที่ออกเครือขนาดของมันใหญ่เกินคนโอบ สูงน้องๆต้นตาล

          ตามแก่งหินและวังน้ำ ปลาหลากหลายสายพันธุ์ก็มีให้เห็นอยู่ชุกชุม ทั้ง ปลากระแห ปลาตะเพียน ปลาตะพาก ปลาพลวง ที่พากันแหวกว่ายรวมฝูงกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ภายใต้ร่มของมะเดื่อป่าและต้นไทรใหญ่ ที่ยื่นเอนโน้มลงไปในแม่น้ำ พอผลที่สุกร่วงตกลงไป พวกมันก็พากันไล่ฮุบยื้อแย่งกันจนน้ำแต กกระเซ็น ดูสับสนอลหม่าน ชายหนุ่มได้แต่ทำท่าเงื้อง่าหอกค้างไว้เช่นนั้น เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะไล่ทิ่มแทง อันเนื่องมาจากระดับน้ำบริเวณนั้นลึกเกินหยั่งถึง  นอกจากสัตว์น้ำที่มีอยู่มากมายแล้ว สัตว์ป่าน้อยใหญ่ก็มีให้เห็นเสียจนชินตา กระรอกดงหลายสิบตัว พากันไต่ยั้วเยี้ยไปตามเถาวัลย์และพุ่มไม้ พวก ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ที่ห้อยโหนโยนตัวอยู่ตามยอดไม้และคาคบก็มีให้เห็นเสียจนชินตา ตามพื้นทรายหรือริมตลิ่ง ลอยเท้าพวกเก้ง กวาง และหมูป่า มีให้เห็นอยู่เป็นเทือก บางที่ก็เห็นพวกมันหลายตัวลงมากินน้ำและหากินดินโป่ง ส่วนบริเวณไหนที่เป็นทุ่งโล่งก็จะเห็น วัวแดง และ กระทิง หากินกันอยู่เป็นฝูงๆ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นราวกับได้อยู่ในสวนสัตว์เปิด หรือ ซาฟารีขนาดใหญ่ บางครั้งเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบซุ่มหลีกทางพวกมัน โดยเฉพาะหมูป่า ที่ลงกินน้ำและพากันนอนเล่นกลิ้งเกลือกโคลนอยู่ริมตลิ่ง บางฝูงมีนับเป็นร้อยๆตัว ทั้งไอ้โทนจ่าฝูงที่ตัวใหญ่พอๆกับถังน้ำมันสองร้อยลิตร เขี้ยวของมันยาวโค้งออกมาเป็นคืบๆ ที่นอนแช่ปลักโคลนอย่างสบายอารมณ์ โดยมันก็ไม่ได้ระแคะระคาย ต่อการมาเยือนของมนุษย์ เหตุเพราะมันไม่กระสากลิ่นของเขาเพราะบังเอิญอยู่ในทิศทางใต้ลม แต่ก็ต้องคอยเฝ้าระวังไอ้พว กลูกเล็กเด็กแดงที่พากันวิ่งไล่กันไปเป็นพรวนดูลายตาไปหมด เพราะลวดลายลักษณะเหมือนแตงไทยของมัน บางทีก็ทำถ้าจะวิ่งมาทางเขา เล่นเอาใจหายใจคว่ำแทบจะต้องแอบชนิดกลั้นหายใจ

        กว่าพวกหมูป่าฝูงนั้นจะพากันเข้าไปหากินในดงทึบ ร่วมชั่วโมงที่ชายหนุ่มซุกกายซ่อนเร้นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าที่จะกระดิกตัวไปไหน จนแทบจะเป็นตะคริว เมื่อดูแล้วปลอดภัยถึงได้เริ่มเดินทางต่อ ในตลอดชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นป่าดงพงไพรที่ไหน หรือสถานที่ใด จะอุดมสมบูรณ์ทั้งด้านป่าไม้ และสัตว์ป่าเท่ากับดงดำแห่งนี้ ธรรมชาติที่สมบรูณ์ปราศจากการถูกรบกวนของโลกภายนอก เหมือนกับได้อยู่กันคนละโลก บรรยากาศที่บริสุทธิ์ปราศจากสารเคมี เมื่อสูดหายใจเข้าเต็มปอดทำให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย เมื่อผ่านไปตามดงไม้พรรณพฤกษา ที่พากันออกดอกสะพรั่งหลากหลายสีสันด้วยแล้ว ยิ่งได้กลิ่นหอมหวนชวนให้ชื่นฉ่ำใจ ครั้งหนึ่งชายหนุ่มหยุดยืนนิ่งแล้วยิ้มขึ้นมาน้อยๆ เมื่อพบกับกอช้างกระกอใหญ่ที่ขึ้นเกาะอยู่ตรงคาคบไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

          “คุณพลับพลึง คุณอยู่ที่ไหนหนอ ในเวลานี้”

          “ผมหวังว่า เราจะได้พบกันอีกนะครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาในใจ ขณะที่ยืนมองกอช้างกระกอนั้นอยู่เงียบๆ


*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร สิงห์และคณะจะพบกันหรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป*****


ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณทุกท่าน ที่ให้กำลังใจและ ติดตามผลงานมาโดยตลอด
แก้ไข 18 มี.ค. 64, 15:58
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024