สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 7 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 16 - [8 ม.ค. 56, 18:35] ดู: 4,859 - [6 พ.ค. 67, 08:15] โหวต: 9
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
1 ส.ค. 54, 11:03
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2
ภาพที่ 1
บทที่ 6

ตอนที่ 6.2

          หลังจากอาหารมื้อเย็นที่กินกันอย่างรีบเร่ง เพราะบรรยากาศเริ่มขมุกขมัวลงทุกขณะ รวมถึงบุคคลทั้งสองคือ พรานเบและสิงห์ จำเป็นที่จะต้องออกเดินทางไปยังตำแหน่งห้างที่พรานเบขัดไว้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ซึ่งทั้งสองคนไม่สามารถรู้เลยว่า ห้างที่ขัดไว้ ยังคงมีสภาพใช้งานได้หรือเปล่า หรือถ้าจำเป็นต้องซ่อมแซมขึ้นมา ก็คงต้องรีบกระทำ เพราะถ้ามืดค่ำขึ้นมาแล้ว คงไม่สะดวกนักที่จะซ่อมแซม อาจจะเสียเวลาและโอกาสโดยเปล่าประโยชน์

          ส่วนบรรดาเหล่าพรานที่เหลือก็แบ่งสันปันส่วนกันออกไป ว่าใครจะทำอะไรกันบ้างในคืนนี้ พรานพรหลังจากคว้าน้ำเหลวจากเมื่อคืน ก็ขอแก้มือโดยชวนพรานแปะไปเป็นเพื่อนส่องไฟหายิงสัตว์ตอนกลางคืน ส่วนพรานโส่ย ครั้งแรกเจ้าตัวก็ว่าจะออกหาส่องปลาส่องกบ ก็ขอเปลี่ยนใจมาเฝ้าแค้มป์เป็นเพื่อนเจ้าเหน๋อที่ไม่ค่อยจะสันทัดนักในการหาปลาหากบ จึงปล่อยให้ลูกชายและเพื่อนเกลอทำหน้าที่นี้แทนอย่างไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากนัก เพราะทั้งสองถึงจะเป็นเด็ก แต่ด้วยความเป็นลูกไพรมาตั้งแต่เด็กๆจึงหมดห่วง

          ท้องฟ้าตอนนี้ปราศจากดวงอาทิตย์ไปนานแล้ว เห็นเพียงแสงสีแดงแกมส้มเป็นฉากหลังทางด้านทิศตะวันตก โดยมีภูเขาสูงทะมึนกั้นขวางไว้เบื้องหน้า เมื่อหมดแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่น บัดนี้ก็กลับมาเย็นยะเยือกลงอีกครั้ง ยิ่งคณะเดินทางดั้นด้นเข้าในไพรลึกมากเท่าใด ป่ารอบด้านก็มีความทึบทะมึนมากขึ้นเท่านั้น

“จิบกาแฟสักหน่อยแล้วค่อยไปกัน”พรานเบพูดจบก็ส่งกระบอกไม้ไผ่ ที่ใช้ทำแทนแก้วกาแฟส่งให้สิงห์

“โอว..ขอบคุณมากครับน้าเบ”สิงห์รีบรับพร้อมกล่าวคำขอบคุณ

“แล้วก็นี้ ของเอ็ง เอาไปคนละกระบอก”พรานเบพูดพลางส่งกระบอกไม้ไผ่ ให้กับสิงห์ที่ตอนนี้กำลังทำหน้างงๆอยู่

“จะเอาไว้ใส่น้ำกินหรือครับน้าเบ”สิงห์ร้องถาม ขณะหยิบกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาพลิกดูเล่น

“เอาไว้ฉี่ไง ไอ้สิงห์ ไปกับไอ้เบมัน ข้ารับรองว่า ถ้าเอ็งได้นั่งห้างแล้วกว่าจะได้ลงจากห้างก็เช้าโน่นล่ะ”พรานโส่ย ร้องบอกมาจากริมกองไฟ ซึ่งตอนนี้ถูกสุมขึ้นมากองใหญ่ จนบริเวณที่พักสว่างโพลงไปหมด

“ขืนลงมาฉี่ข้างล่าง เอ็งไม่ต้องหวังว่าจะเจอตัวอะไรแล้ว”พรานชราพูดเสริมมาอีก พูดจบก็เดินไปลากท่อนฟืนขนาดใหญ่มาวางเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ

“ผมก็ยังคิดอยู่เลย กะว่าถ้าไม่ลงมาจากห้าง ก็จะยืนฉี่มันบนห้างเสียเลย ฮาๆ”สิงห์พูดจบก็หัวเราะชอบใจ ไม่ใช่แค่สิงห์เพียงคนเดียว เหล่าพรานทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันเฮฮากันอย่างสนุกสนาน

“ใครเขาทำแบบนั้นกันไอ้สิงห์ ผิดป่า เจ้าป่าได้หักหอเอ็งตาย”พรานชราร้องลั่น เพียงได้ยินพรานเฒ่าเอ่ยถึงเจ้าป่าเจ้าเขา สิงห์ก็ชักจะเสียวสันหลังขึ้นมาอีก เพราะลืมเสียไปสนิทว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้พบเจอกับอะไร

          หลังจากนั่งจิบกาแฟจนตาสว่างได้ที่ดีแล้ว พรานเบก็ชักชวนให้พรานมือใหม่จัดเตรียมของใช้จำเป็นลงเป้หลัง พรานเบไม่ได้ติดอะไรไปมาก มีเพียงกระบอกน้ำที่มีน้ำดื่มอยู่เต็ม รวมถึงกระบอกไม้ไผ่เปล่าๆ ไฟฉายขนาดแปดท่อน ผ้าข้าวม้า และปืนลูกซองเดี่ยวของแกอีกกระบอก พร้อมลูกกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง

          ส่วนของสิงห์ เพราะเป็นมือสมัครเล่น จึงเตรียมอะไรต่อมีอะไรดูผลุงพลังไปหมด ไม่ว่าจะเป็นถุงนอน เปลสนามก็ยังติดไปด้วย โดยเจ้าตัวบอกว่าถ้าไม่ได้ไปผูกนอน ก็เอาไว้รองก้นนั่งก็ยังดี เพราะรู้ดีว่าการนั่งนานๆบนห้าง ที่พื้นของมันทำด้วยลูกห้างที่เป็นท่อนไม้มาพาดแบบห่างๆคงทรมานสังขารน่าดู ส่วนถุงนอนก็เอาไว้ห่มกันหนาวอีกที  นอกจากสิ่งของที่ว่ามาแล้ว กระติกน้ำใบเก่าก็ลืมเสียไม่ได้ กระสุนปืนลูกกรด หรือ.22 ก็เอาไปด้วยเสียเต็มที่ ทั้งที่อยู่ในแม็ค อีก 5 ลูก แถมในรังเพลิงอีกลูกโดยเจ้าตัวล็อคกลไกไว้ด้วยระบบเซฟ เพียงไม่กี่อึดใจคนทั้งสองก็พร้อมออกเดินทางในทันที แต่ยังไม่ทันที่สิงห์จะเดินตามพรานเบไป พรานเฒ่าก็ร้องบอกเขาว่า

“ไอ้สิงห์กระบอกฉี่ เอ็งล่ะยังแขวนอยู่นี้เลย”พรานเฒ่าร้องบอก

“เออ! เกือบลืม ตื่นเต้นไปหน่อย ฮาๆ”สิงห์พูดพลางเดินย้อนกลับมาเอากระบอกไม้ไผ่ที่แขวนไว้

“โชคดีเว้ยเพื่อน”เหน๋อที่ตอนนี้กำลังผูกเปลนอน ร้องบอก

“จับไอ้สองตัวนั่นไว้ด้วย”สิงห์หันมาร้องบอก พูดจบก็โบกมือให้กับกลุ่มพรานกะเหรี่ยง ที่นั่งมองเขา ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะหายลับเข้าไปในดงทึบ

          เสียง กู่..ว๊าววว....กู่..ว๊าววว  ของนกกาเหว่าดังกังวาน ก้องไปทั้งหุบ มันคงจะเตรียมขึ้นรังนอนที่ใดสักแห่งในดงทึบเบื้องหน้า สลับกับเสียงร้องระรัวถี่ของนกกระปูด ที่เกาะเด่นบนกิ่งไผ่ ซึ่งทอดเอนขวางลำห้วยอยู่ ครั้นเมื่อเห็นมนุษย์ทั้งสองที่เดินเลาะเลียบมาตามริมห้วยเบื้องล่าง ก็บินผละไป
อากาศที่เริ่มขมุกขมัวลงทุกขณะ แต่ชายต่างวัยทั้งสองยังมุ่งมานะที่จะไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ โดยการนำทางของพรานมีฝีมือ ที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเข็มทิศหรือแผนที่ เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกฝังและบันทึกลงในส่วนลึกของสมองไปแล้ว เพียงแค่จดจำภูมิประเทศรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ลำห้วย หรือแม้แต่เหลี่ยมมุมของภูเขา พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบก็พาบุกไปถึงจุดหมายจนได้

          หลังจากพรานเบพาเดินลุยดงทึบมาได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณที่โล่งตอนหนึ่ง ซึ่งมีต้นไม้หลากหลายขนาดขึ้นอยู่ประปลาย พรานเบก็ชักมีดที่เหน็บไว้ที่เอว ออกมาตัดไม้ขนาดแขนสามสี่ต้น นอกจากต้นไม้ที่พรานเบร้องบอกให้สิงห์ช่วยตัดลิดกิ่งไม้และใบไม้ออกแล้ว พรานเบยังเลือกตัดเถาวัลย์อีกหลายเส้น เพื่อเตรียมเผื่อไว้สำหรับซ่อมแซมห้าง

“น้าเบขัดห้างไว้แถวนี้หรือ”สิงห์ร้องบอกด้วยความสงสัย

“ข้าขัดไว้บนเนินเขาฝั่งโน่น เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงแล้ว”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ม้วนเก็บเถาวัลย์ที่ตัวเองตัดมาเป็นห่วง จากนั้นก็เอาห่วงเถาวัลย์ที่ได้ มาคล้องสะพายไหล่

“ทำไม ไม่ไปหาตัดใกล้ๆห้างเลยล่ะน้าเบ จะได้ไม่ต้องเดินแบกไม้ไกล”สิงห์ถามด้วยความสงสัย

“ขืนทำแบบที่เอ็งว่า ให้นั่งกันทั้งคืนก็ไม่มีตัวอะไรเข้า”พรานเบพูดจบก็ใช้มีดฟันไม้ที่ใช้สำหรับทำลูกห้างเป็นท่อนๆ แต่ละท่อนยาวเกือบช่วงแขน

“เก้ง กวาง มันก็เหมือนคนนั่นล่ะ สิงห์ ถึงมันจะฉลาดสู้คนไม่ได้ มันก็มีความช่างสังเกต อะไรผิดหูผิดตา หรือผิดกลิ่นจากถิ่นที่มันหากินไปจากเดิม มันจะไม่เข้ามาอีกเลย”พรานเบอธิบาย

“เอาง่ายๆ เวลาเอ็งออกจากบ้าน เอ็งก็ปิดประตูมิดชิด แต่พอเอ็งกลับมาประตูบ้านเอ็งเปิด เอ็งจะเอะใจหรือเปล่าล่ะ”พรานเบพูดจบก็เอื้อมไปหยิบต้นไม้ที่สิงห์ลิบกิ่งก้านออกแล้ว นำมาตัดอีกท่อน

          อาจจะจริงอย่างที่พรานชำนาญไพรพูด สัตว์ป่ามันก็คงเหมือนกับคนหรือมนุษย์อย่างเราๆ ถึงแม้ว่าความฉลาดจะสู้มนุษย์ไม่ได้เลย แต่ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมันแล้ว สัตว์ป่าย่อมจะมีสิ่งนี้มากกว่ามนุษย์ การละแวกระวังภัย ย่อมจะมีการสัมผัส หรือการรับรู้ได้ดีกว่าคนเราหลายเท่าตัว สิ่งไหนที่ผิดหูผิดตาไปจากเดิม ที่เคยพบอยู่เป็นประจำเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้พวกมันกระสากลิ่นอายของภัยอันตรายที่จะกล้ำกลายเข้ามาก็ได้ หรือเพียงแค่กลิ่นยางไม้สด ที่เกิดจากบาดแผลของมีดที่ฟันทิ้งใหม่ๆ ก็อาจทำให้มันหนีเตลิดไปไหนต่อไหน บางครั้งอาจจะต้องรออีกหลายวันกว่าพวกมั นจะย้อนกลับมาหากินที่เดิมอีก บางครั้งอาจจะเป็นเดือนๆเลยก็มี เพียงแค่ละเลยหรือมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆ จึงอาจทำให้พลาดและเสียโอกาสอย่างน่าเสียดาย

          เสียงน้ำในลำห้วยดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ จากหุบเบื้องล่าง ชายทั้งสองคนพากันเดินไต่ไปตามเนินเขาอย่างเงียบกริบ โดยแบกท่อนไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก ที่เตรียบนำไปซ่อมแซมห้างมาคนละห้าหกท่อน จากเดิมที่เดินแบกปืนมาคนละกระบอกและเป้หลังก็ทุลักทุเลเอาการณ์อยู่แล้ว แต่พอมีลูกห้างมาเพิ่มเข้าไปอีก จึงทำให้การเดินทางช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะเหนื่อยและระบมไปทั้งตัว ก็ไม่สามารถหยุดพักเอาแรงได้ เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร ลำพังพรานเบก็ไม่หนักหนาอะไรมากนัก เพราะมีร่างกายที่แข็งแรงทรหดอยู่แล้วตามแบบฉบับของลูกไพร แต่สำหรับสิงห์ ที่ไม่ใช่ลูกป่าโดยกำเนิด แค่แบกเป้และปืนไหล่ก็แทบหลุดอยู่แล้ว ยิ่งเจอลูกห้างเข้าไปอีกแถมยังต้องเดินไต่เนินชัน กว่าจะถึงที่หมายก็เล่นเอาหมดแรง

          บริเวณเนินดินที่ยื่นเป็นตะพักออกมาไม่กว้างนัก ลูกไม้ป่าสีเขียวนวล ลักษณะทรงกลม ล่วงหล่นตามพื้นดินอยู่เกลื่อนกลาด โดยบริเวณพื้นดินนั้นมีร่องรอยของสัตว์เดินเหยียบย่ำไว้ดูสับสนไปหมดทั้ง เก้ง และหมูป่า รวมไปถึงสัตว์ขนาดเล็ก เช่น ชะมด อีเห็น กระรอก กระแต ก็มีร่องรอยมาแทะกินลูกไม้เหล่านั้นเต็มไปหมด

“มะขามป้อมสุกเต็มเลยน้าเบ ดูสิมีรอยเก้งมากินด้วย”สิงห์พูดจบก็ค่อยๆวางลูกห้างที่ตัวเองแบกมาจนไหล่ลู่

“สงสัยคืนนี้คงมีหวัง ทั้งเก้ง หมูป่า ลงมากินลูกมะขามป้อมกันเปรอะขนาดนี้”พรานเบพูดจบก็เก็บลูกมะขามป้อมที่หล่นตามพื้นขึ้นมาเคี้ยวเล่น สิงห์ที่รู้อยู่แล้วว่า ผลไม้ชนิดนี้สามารถกินได้  จึงไม่รอช้าที่จะเก็บมันขึ้นมากินบ้าง

“กำลังคอแห้งอยู่พอดี ได้สักลูกสองลูกค่อยชุ่มคอหน่อย”สิงห์พูดพลางก้มลงเก็บลูกมะขามป้องใส่กระเป๋าเสื้อ

          นอกจากมะขามป้อมจะเป็นผลไม้ป่าอีกชนิดหนึ่งแล้ว ด้วยรสชาติฝาดอมเปรี้ยวของมัน แม้จะไม่มีรสหวานเลยในตอนแรกที่สัมผัสลิ้น แต่ด้วยสรรพคุณในด้านสมุนไพรของมันแล้ว เพียงอึดใจ รสฝาดของมันกลับกลายเป็นรสหวานชุ่มคอได้อย่างน่าประหลาด ยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำตามลงไป จะทำให้ชุ่มคออีกเป็นทวีคูณ คนป่าคนดอยมักนิยมเก็บลูกมะขามป้อมไปดองน้ำเกลือเอาไว้กินเล่น บางครั้งก็เอาไปดองกับน้ำผึ้งเพื่อทำยา ไม่เพียงแต่คนป่าที่นิยม คนในเมืองก็ชอบนำมาแช่อิ่ม ก็เห็นมีวางขายอยู่ทั่วไป

“ไหนล่ะห้างที่น้าเบขัดไว้?”สิงห์ร้องถามพรานเบที่ตอนนี้กำลังคลี่ห่วงเถาวัลย์

“โน่นไง บนต้นตะแบก ที่ขึ้นติดกับหน้าผานั่น”พรานเบพูดพลางชี้มือ ไปยังตำแหน่งห้างที่ตัวเองขัดไว้

“โอ้โห้ ทำไมไปขัดซะสูงเชียว”สิงห์ร้องพลางยืนมองอย่างหวั่นๆ

“สูงๆสิดีสิงห์ ข้าไม่รู้ว่าไอ้จมูกยาวมันจะมาตอนไหน แถมตรงที่ข้าขัดไว้มันเหมาะ มองเห็นได้ทั่ว”พรานเบพูดจบก็ชวนสิงห์ขนข้าวของไปยังตำแหน่งห้างที่ขัดไว้
ห่างออกมาจากตำแหน่งของต้นมะขามป้อม ที่ตอนนี้ลูกของมันล่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด ถัดมาประมาณเกือบสามสิบวา บริเวณหน้าผาชันตอนหนึ่งที่ตั้งเด่นเป็นกำแพงสูงทะมึน บริเวณนี้เองที่มีต้นตะแบกใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นเบียดอยู่กับหน้าผานั้น โดยมีเถาวัลย์ขนาดใหญ่พันเป็นเกลียวขึ้นไปตามลำต้นของมัน มองดูแล้วรกรุงรัง แต่ก็มีผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะมันเป็นที่บังไพรได้เป็นอย่างดี

          จากพื้นขึ้นไปไม่ต่ำกว่าสิบห้าเมตร ตรงส่วนที่เป็นกิ่งก้านขนาดใหญ่ ที่งอกยื่นไปเบียดกับหน้าผานั้น ตำแหน่งนี้เอง ที่มองเห็นแคร่ไม้ที่ถูกขัดไว้ไปมาระหว่างคาคบของต้นตะแบกใหญ่กับหน้าผาหินนั้น โดยมีเส้นเถาวัลย์เป็นตัวยึดลูกห้างขนาดต่างๆให้ติดแน่นเข้ากับกิ่งและคาคบของต้นตะแบก อีกด้านที่ติดกับหน้าผา บริเวณที่มีรอยแตกร้าวของผาหิน พรานเบใช้ปลายของไม้ที่ใช้ทำคานรองรับลูกห้าง เสียบเข้าไปขัดไว้ตามรอยแตกร้าวของช่องโหว่เหล่านั้น จึงทำให้ห้างที่พรานเบสร้างไว้ดูแข็งแรงเป็นพิเศษ โดยมีส่วนที่เป็นชะง่อนของหน้าผายื่นออกมาเหนือห้างอย่างพอดิบพอดี ราวกับว่าคนที่มาขัดไว้จงใจให้มันเสมือนเป็นหลังคากันแดดกันฝนเสียอย่างดี

“เข้าใจหาที่ขัดห้างนะน้าเบ แบบนี้ถ้าฝนเกิดตกขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวเปียก”สิงห์พูดพลางมองพรานของเขาอย่างศรัทธา

“ข้าเห็นตรงนี้มันเหมาะดี ก็เลยขึ้นไปขัดไว้ แต่ครั้งที่แล้วลูกมะขามป้อมมันยังไม่สุกดี เลยไม่ได้อะไร เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปดูลูกห้างข้างบนก่อน เอ็งอยู่ข้างล่าง คอยส่งของให้ข้าก็แล้วกัน”พรานเบพูดจบก็ปีนไต่ไปตามเถาวัลย์ขนาดใหญ่ที่เกาะเกี่ยวระหว่างต้นตะแบกและหน้าผาอย่างรวดเร็ว เพียงอึดใจพรานเบก็ไปนั่งเด่นอยู่บนห้างนั้น

“เอ๊า สิงห์ ส่งลูกห้างมาให้ข้าหน่อย” พรานเบร้องบอกมาจากข้างบน พูดจบแกก็โยนปลายเถาวัลย์ด้านหนึ่งมาให้สิงห์ เพื่อใช้ผูกกับลูกห้างสามสี่ลูก จากนั้นพรานเบก็ค่อยๆชักรอก ลูกห้างขึ้นไป โดยทำแบบนี้อยู่สามครั้งลูกห้างที่แบกกันมาหลายสิบท่อนก็ถูกลำเลียงขึ้นไปกองอยู่บนห้างจนหมด

          หลังจากซ่อมแซมลูกห้างที่ผูกขัดไว้จนแน่ใจว่า ไม่มีลูกห้างท่อนไหนขยับได้ และแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของคนสองคนได้อย่างสบาย พรานเบก็ให้สิงห์ส่งสัมภาระต่างๆ ด้วยวิธีเดิมคือการใช้เถาวัลย์ค่อยๆชักรอกขึ้นไป ที่ละอย่างสองอย่าง เพียงไม่กี่เที่ยว สิ่งของต่างๆก็ถูกลำเลียงขึ้นไปไว้บนห้างจนหมด จากนั้นพรานเบก็ร้องบอกให้สิงห์ปีนขึ้นมาสมทบ

          บรรยากาศโพล้เพล้ ใกล้สนธยาลงทุกขณะ ท้องฟ้าจากเดิมที่พอจะมองเห็นเมฆที่ลอยอยู่เหนือยอดเขา บันนี้กลับตรงกันข้าม เสียงไก่ป่าที่ขันเจื้อยแจ้วเมื่อตอนใกล้ค่ำบัดนี้ก็เงียบเสียงลง โดยมีแมลงกลางคืน จากที่เงียบกริบมานาน พอแสงสว่างถูกกลืนหายไป เหล่าแมลงไพรก็พากันกรีดปีกเซ็งแซ่ระงมป่า เช่นเดียวกับสัตว์ป่าบางชนิด ที่เมื่อยามฟ้าสาง พวกมั นก็พากันหลบนอนตามสุ่มทุมพุ่มไม้ในดงทึบ แต่พอเริ่มเย็นย่ำ พวกมั นก็พากันออกมาท่องเที่ยวหากินกันอย่างเริงร่า

“กี่โมงแล้วสิงห์”พรานเบกระซิบถาม

“อีกสิบสองนาที หนึ่งทุ่มครับ”พรานสมัครเล่นกระซิบตอบ

“โชคดีที่มากันทันเวลา ถ้าช้ากว่านี้คงจะลำบากน่าดู”พรานหนุ่มพูดตอบด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“ข้าจะคอยส่องไฟให้เอ็งก็แล้วกัน ถ้าเกิดเจอตัวอะไรเข้ามากินลูกไม้”พรานชำนาญไพรพูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบกระบอกไฟฉายในย่าม ที่ตัวเองเอาไปซุกไว้ในชะง่อนหิน

“อย่าเลยน้าเบ ขืนให้ผมยิง สงสัยคงได้นั่งห้างกันฟรี”สิงห์ปฏิเสธ

“แล้วแต่เอ็งก็แล้วกัน งั้นเอ็งคอยส่องไฟให้ข้าดีๆล่ะ”พรานนำทางพูดจบ ก็ยื่นไฟฉายให้พรานหนุ่ม

“น้าเบคิดว่าพวกมั นจะลงมากินลูกไม้กันเมื่อไหร่”สิงห์กระซิบถาม

“มันแล้วแต่จังหวะ ข้าก็เดาไม่ถูก บางทีถ้านั่งกันเงียบๆหัวค่ำก็อาจจะมา แต่บางทีกว่าจะมาก็โน่นล่ะสี่ห้าทุ่ม ใกล้สว่างก็มีอยู่บ่อยครั้ง เอาแน่เอานอนกับพวกมั นไม่ได้ อย่าเผลอนั่งหลับก็แล้วกัน”พรานเบกระซิบตอบ

          สรรพสำเนียงที่ขับกล่อมไพร ในยามราตีกาล กู่แว่วผสานเสียงกันเซ็งแซ่ ทั้งจิ้งหรีดหมู่แมลงนานาชนิด ที่พากันกรีดปีกอยู่ตามแนวป่า คละเคล้ากับเสียง งึมงำ ของอึ่งป่า ที่แว่วเสียงมาจากในลำห้วยเบื้องล่าง หิ่งห้อยหลายสิบตัว พากันเปล่งแสงสีเขียวเรืองๆ วูบวาบ บินสูงๆต่ำๆ ตามยอดไม้ จากหนึ่งทุ่ม เป็นสองทุ่ม ที่ชายทั่งสองยังคงนั่งจับเจ่า อยู่บนห้างอย่างใจจดใจจ่อ แรกๆอาจเป็นเพราะความตื่นเต้นของพรานมือใหม่ จึงทำให้กระตือรือร้น ที่คอยเฝ้าการเคลื่อนไหวของสัตว์ซึ่งอาจจะแผ้วผ่านมา แต่เงี่ยหูฟังเท่าไหร่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม นอกจากเสียงกรีดปีกของแมลง ที่พากันส่งเสียงอยู่ตามพุ่มไม้เบื้องล่าง

          ยิ่งดึกสงัดลงเท่าใด ความเงียบก็เริ่มกร่ำกราย หมู่แมลงที่เคยกรีดปีกกันแซด ก็พากันเงียบเสียงลงทุกขณะ โดยมีเสียง หวีดหวิว ที่ดังมาจากหน้าผาด้านบน ครางอู่ มาเป็นระยะๆ พร้อมกับกระแสลมที่พัดมาเอื่อยๆ ทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือกและวังเวงลงไปอีก จนสิงห์ต้องนั่งห่อตัวกับเสื้อแจ็คเก็ต เพราะบรรยากาศที่เงียบและอากาศที่เย็นลงทุกขณะ จากที่เคยตาสว่างก็เริ่มมีอาการง่วงเหงา บ่อยครั้งที่พรานหนุ่มต้องคอยสะบัดหน้าไล่ความง่วง แต่สำหรับพรานเบแล้ว อาการเหล่านี้ไม่มีปรากฏให้เขาเห็นเลย นอกจากนานๆครั้งจะขยับแข้งขยับขาแก้เมื่อยขบ

          ครั้นแล้วสิงห์ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่ออยู่ๆบนยอดตะแบกเหนือหัว ก็มีอาการสั่นไหวขึ้น จนเศษกิ่งไม้แห้งเล็กๆร่วงกราวลงมา คล้ายๆว่ามีตัวอะไรบางอย่างขยับไต่ไปมาตามกิ่งตะแบกนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ เพราะมองไม่เห็นอะไรมากนัก นอกจากเงาตะคุ่มๆสีดำ ที่ตัดกับท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ในจังหวะที่สิงห์ ทำท่าจะส่องไฟฉายไปยังตำแหน่งของสัตว์ปริศนานี้เอง พรานเบก็เอามือแตะแขนของสิงห์ไว้

“บ่าง”พรานเบกระซิบบอก

“สงสัยมันจะลงมากินลูกมะขามป้อม”พรานชำนาญไพรกระซิบมาอีก

“ไอ้บ่างผี เล่นเอาผมตกใจหมดกำลังคิดอะไรเพลินๆ”สิงห์กระซิบตอบ

          เจ้าบ่างปริศนา ที่ไม่รู้ว่ามันร่อนมาจากทิศทางใด อยู่ๆก็ร่อนมาเกาะเอายังตำแหน่ง ที่ตัวมันเองก็คงไม่สำเหนียกเลยว่า ภายใต้ซุ่มไม้ที่มันมาเกาะอยู่นั้น จะมีมนุษย์เฝ้ามองมันอยู่ หลังจากจดๆจ้องๆอยู่อึกใจ เสียงกรุบกรับ ของบ่างขนาดใหญ่ หรือพญาบ่าง ที่ไต่ไปตามกิ่งไม้ ที่ยืดชี้ไปทางต้นมะขามป้อม ก็กระโจนพรวดไปยังตำแหน่ง ของอาหารมื้อค่ำของมัน เสียงดัง พรึบ ของพังผืดที่เปรียบเสมือนปีกอันใหญ่โตของมันถูกกางขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงดังซ่า ของต้นมะขามป้อม ที่ยอดของมันด้านหนึ่งไหวฮวบลง พร้อมๆกับเสียงของลูกมะขามป้อม ที่ล่วงหลนลงพื้นดังกราวไปหมด เพราะแรงปะทะของมัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่กี่นาที ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง......




*****นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ ราตรีต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรไม่อาจทราบได้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทที่ 6 ตอนที่ 6.3 นะจ๊ะ*****


ผิดพลาดประการใด หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2
ภาพที่ 2
ผมเองครับ ที่เห็นสะพายปืน ไม่ได้ไปล่าสัตว์ที่ไหนนะครับ เป็นทริปกิจกรรมหนึ่งที่ผมจัดไปเดินป่า ปืนที่นำไป นอกจากเอาไปป้องกันตัวแล้ว ส่วนหนึ่งนำมาให้สมาชิกได้ทดลองยิงปืน(เป้าที่ไม่มีชีวิต)
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2
ภาพที่ 3
ลุงโส่ยกับท่อนซุงเก่าแก่
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2
ภาพที่ 4
ที่ล่ากันก็มีพวกนี้ครับ ผัก กุ้ง หอย ปู ปลา กบ เห็ด
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2
ภาพที่ 5
อันนี้เป็นเมนู ที่ผมก็เพิ่งเคยกินครับ อารมณ์เดียวกับแกงส้ม แต่น้ำมันจะใสกว่า มีปลา กุ้ง ปู ผักก็มี ใบพริกนก(ที่ขึ้นตามป่า) แล้วก็ลูกไม้ป่าชนิดหนึ่ง ผมก็จำไม่ได้ว่าลูกอะไร ลูกสีเหลืองๆ ถ้าตอนอยู่บนต้นมองแว๊บๆคิดว่าฝรั่ง แต่เวลามันตกลงมา จะแตกเหมือนเราเอามีดผ่าผลแอปเปิ้ล รสชาติเปรี้ยวครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024