สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 5 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 3 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > อื่นๆ
ความเห็น: 15 - [6 ก.ย. 55, 14:59] ดู: 3,367 - [5 พ.ค. 67, 15:30] โหวต: 8
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 3
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
16 มี.ค. 55, 08:41
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 3
ภาพที่ 1
บทที่10

ตอนที่ 3

          ความหวังถึงแม้จะริบหรี่ แต่ก็ใช่ว่าจะหมดหนทาง จริงอยู่ที่ปล่องเหวนรกแห่งนี้ จะมีความลึกจนไม่สามารถคำนวณออกมาเป็นตัวเลข ว่ามันจะมีลึกสักเพียงไร แต่ก็น่าแปลกใจที่ว่า ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่น่าจะรอดจากก้นเหวแห่งนี้ คิดไปแล้วก็ทำให้อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ถ้าไม่ได้กระแทกกับแง่หินตาย ก็ต้องขาดอากาศหายใจตาย ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง พอนึกถึงอากาศหายใจได้ ชายหนุ่มถึงกับตาสว่าง ความลึกขนาดนี้ทำไม่ตัวเขายังสามารถยื่นหายใจอยู่ได้ ก็แปลว่า จะต้องมีช่องทางใดสักแห่ง ทะลุผ่าน หรือเชื่อมต่อจากก้นเหวแห่งนี้ ตัดออกสู้บริเวณภายนอก จึงทำให้มีอากาศถ่ายเทเข้ามา ซึ่งก็ไม่สามารถตอบได้ว่า ช่องทางที่ว่าจะซ่อนอยู่ที่ใด และตัวเขาเองนั้นล่ะ ที่จะต้องค้นหาช่องทางสู้อิสรภาพให้ได้ ขืนชักช้ามัวแต่รอเวลา ถ้าเสบียงและน้ำหมด ก็มีหวังได้เป็นผีเฝ้าก้นเหวแห่งนี้แน่นอน
ความรู้สึกที่เคยกระสับกระส่าย มืดมนที่จะหาทางออก ไร้ที่พึ่งพาคอยให้คำปรึกษาหรือชี้แนะ ตอนนี้มีเพียงแต่สมาธิและสติเท่านั้น ที่พอจะทำให้ความรู้สึกสับสนทุเลาลง ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่ตั้งสติให้มั่น ก็ไม่แคล้วสติแตกบ้าตายอยู่ในรูนรกแห่งนี้

          ชายหนุ่มหยุดยืนสงบใจอยู่ชั่วครู่ พลางหลับตาแล้วตั้งสมาธิ ในใจก็ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ช่วยเปิดทางให้แก่เขาด้วย ภาวนาอยู่ในใจเงียบๆชั่วครู่ ก็ส่องไฟสำรวจเส้นทาง ไปรอบๆบริเวณ เพื่อหาลู่ทาง โดยหมายตาไว้ที่ดงหินเบื้องหน้าเป็นเป้าหมายหลัก เพราะเท่าที่สังเกตเห็น พบว่าภายในดงหินนั้น มีโตรกและโพรงอยู่มากมาย ผิดกับบริเวณอื่น ที่มีแต่ผนังหินกันเป็นกำแพงสูง ทำให้พอที่จะมีความหวังได้ว่า โพรงหรือโตรกที่เห็น ไม่ช่องใดก็ช่องหนึ่ง จะต้องมีทางออกสู่อิสรภาพ เมื่อได้เป้าหมายแล้วก็ออกเดินทางโดยทันที

          บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ที่เกาะเกรอะกรัง ตลอดทั้งบนพื้นและผนังหิน ราวกับฝุ่นแป้งที่ใครแกล้งนำมาโปรยไว้ทั่วไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มีแต่พื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินแห้งๆ ผิดวิสัยกับถ้ำที่ตัวเองเคยสัมผัส เพราะภายในถ้ำเหล่านั้นจะมีความชื้นสูง ทำให้อากาศภายในเย็นสดชื่น ราวกับอยู่ในห้องแอร์ แต่สำหรับถ้ำแห่งนี้ มันกลับตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะไม่เย็นอย่างที่ว่าแล้ว อุณหภูมิภายในนี้กลับร้อนอบอ้าว จนเหงื่อไหลไคลย้อย ไม่ต้องถามหาว่าจะมีหินงอกหินย่อยเพื่อจะคิดหวังได้พบน้ำที่พอจะใช้ดื่มกินได้ เพราะเท่าที่ส่องสำรวจนั้นไม่มีให้เห็นแม้แต่ก้อนเดียว ที่มีก็แต่ผลึกหินเท่านั้น ที่เกาะเป็นแผงไปตลอดทั้งผาหิน ซึ่งก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นแร่ชนิดใด ซึ่งทุกครั้งที่ส่องไฟกระทบกับผลึกหินเหล่านั้น จะส่องแสงประกายระยิบระยับดูสวยงาม แต่บางช่วงก็เป็นก้อนหินล้วนๆ มีแต่ฝุ่นเกาะเกรอะไปหมด

          จนในที่สุด ก็เดินมาถึงตำแหน่งดงหินที่หมายตาเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องชะงักอยู่กับที่ เพราะเส้นทางได้แยกออกไปหลายสาย ซึ่งแต่ละสายแยกเข้าไปตามซอกหินที่เบียดกันระเกะระกะไปหมด จะแยกออกซ้ายก็พะวงแยกทางขวา ครั้นจะเดินออกขวาก็ไม่แน่ใจทางซ้าย เพราะทุกซอกหินที่แยกออกไปนั้น ดูซอกซอนจนตัดสินใจไม่ถูก ยืนลังเลอยู่พักใหญ่ เหมือนจะโยนก้อนหินถามทาง ก็เลือกที่จะเดินไปทางซ้ายสุด เพราะเส้นทางเปิดกว้างน่าจะเดินสะดวกกว่าเส้นทางอื่น ที่มีแต่ก้อนหินเกยซ้อนกันดูแล้วน่าจะลำบาก แต่เขาก็ต้องคิดผิด เพราะเส้นทางคดเคี้ยว ที่เลาะเลียบไปตามตรอกซอกหินเหล่านั้น นำชายหนุ่มให้ต้องเดินวกไปวนมาอยู่หลายครั้ง เดินมุดไปทางนี้ก็ไปทะลุเอาที่ลานโล่งบริเวณที่ตัวเองเดินผ่านมา ครั้นคลานลอดไปอีกทาง ก็ต้องคลานถอยหลังกลับออกมาเพราะเจอกับทางตัน สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นเล่นเอาเหงื่อโชกไปทั้งตัว

          ครั้งที่สอง ชายหนุ่มเลือกเดินสำรวจไปอีกเส้นทาง แต่ครั้งนี้มีความยากลำบากไปอีกเท่าตัว เพราะนอกจากเส้นทางจะคับแคบเพราะเป็นซอกหิน ชนิดที่ว่า จะต้องค่อยๆเดินตะแคงข้าง ถึงจะผ่านออกไปได้ แต่พอหลุดจากทางแคบๆแล้ว ก็ต้องคอยเดินลอดมุดไปตามช้องหินที่มีลักษณะเป็นโพรงเข้าไปอีก เป็นแบบนี้ตลอดเส้นทาง พอพ้นจากทางนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะวกวนไปมาอยู่เช่นนั้น ราวกับตัวเองได้เข้ามาอยู่ในจอมปลวกขนาดใหญ่ ที่มีแต่โพรงอยู่เต็มไปหมด จนบ้างครั้งก็ตัดสินในไม่ถูก พอลองมุดไปในโพรงนั้น ก็มาโพล่เอาโพรงนี้ พอแยกออกโพรงนี้ ก็ทะลุออกมาโพรงโน่น บางที่ก็ไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องถอยกลับออกมา เพราะไม่มีเส้นทางจะไปต่อ หรือไม่ก็แคบจนไม่สามารถจะลอดผ่านออกไปได้ สรุปผลสุดท้ายที่ได้ ก็ไม่แตกต่างไปจากครั้งแรก หรืออาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำไป กำลังคิดถอดใจ คิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นวัตถุอะไรบางอย่าง ตกอยู่บนพื้น ชายหนุ่มรีบก้มลงหยิบโดยทันที

“ฮ่ะ..!”

“ปะ ปะ..เป็นไปได้ยังไงกัน”ชายหนุ่มละล่ำละลักอยู่ในใจ ก่อนจะค่อยๆประคองวัตถุชิ้นนั้นอยู่ในมืออันสั่นเทา เมื่อหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ ก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มก็คือ ดอกช้างกระ นั้นเอง มันเป็นไปไม่ได้ในความคิดของชายหนุ่ม ที่จะมีดอกช้างกระ มาร่วงหล่นอยู่ในถ้ำที่มีความลึกเช่นนี้ อย่าว่าแต่ดอกไม้เลย แม้แต่พืชต้นเล็กๆสักชนิดยังไม่มีเลย จะว่าเป็นดอกช้างกระที่ตัวเองเคยเก็บไว้ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสามสี่ดอกที่ตัวเองเก็บไว้ ก็ยังอยู่ครบในกระเป๋าเสื้อ ไม่ได้ทำตกหล่นเป็นแน่ และที่สำคัญทุกดอกกลายเป็นดอกไม้แห้งไปหมดแล้ว ไม่เหมือนสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองตอนนี้ ที่ยังสดใหม่ ราวกับว่ามันเพิ่งจะถูกเด็ดมาสดๆร้อนๆ หรือว่าจะเป็นหล่อน

“พลับพลึง...”

“นี่คุณกำลังจะบอกอะไรกับผมหรือเปล่า”มันเป็นความคิดของชายหนุ่ม ที่ดักก้องอยู่ในใจอย่างพิศวง

          ให้ธรณีสูบให้เขาต้องตกลึกลงไปอีกแบบไม่ได้ผุดได้เกิดเขาก็ยอม จะมีใครอื่นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่หล่อนคนนั้น ชายหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจ ใช่แล้วหล่อนต้องมาบอกใบ้อะไรกับเขาสักอย่าง อยู่ดีๆใครจะเข้ามาวางดอกช้างกระไว้แถวนี้ และดูเหมือนว่า คนที่นำมาวาง จะจงใจวางไว้ให้เห็นอย่างชัดเจนเสียด้วย ซึ่งมันก็อยู่โดดเด่นเหนือปากโพรงหินนั้น ในเมื่อหมดหนทางและไม่มีตัวเลือกอื่นใดอีก ก็คงต้องเสี่ยงดูสักครั้ง ถ้าครั้งนี้ยังเหมือนเดิมอีก เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม รวมถึงความตายเขาก็ไม่ยี่หระอะไรกับชีวิตอีกแล้ว ถ้าจะต้องตายอยูภายในโพรงนรกแห่งนี้ ก็คิดเสียว่ามันเป็นกรรมของเราเอง แต่ถ้ารอดออกไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เผชิญมา มันคือกำไรของชีวิต

          ชายหนุ่มมาหยุดยืนตรงบริเวณปากโพรงแคบๆตอนหนึ่ง ที่เกิดจากแผ่นหินเกยซ้อนกันจนมีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม ซึ่งมันก็กว้างพอที่จะคลานลอดไปได้ เมื่อทรุดกายก้มส่องไฟสำรวจ ก็พบว่ามันเป็นโพรงซอกซอนเข้าไปจนลึก ว่ายน้ำเป็นปลาก็เคยทำแล้ว ไต่เชือกไต่เถาวัลย์เหมือนลิงก็เคยแล้ว ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ จะลองทำตัวเป็นตัวตุ่นตัวอ้นดูบ้างจะเป็นไร ชายหนุ่มค่อยๆมุดคลานเข้าไปในปากโพรงนั้นช้าๆ แต่ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะมืออีกข้างต้องคอยประคองไฟฉายส่องไปเบื้องหน้า มุดไปก็ต้องคอยระวังหัวตัวเอง เพราะผนังด้านบนมีลักษณะต่ำ แต่ก็ยังเผลอเอาหัวไปโขกเข้ากับแง่หินจนน่วมไปหมด

          ตลอดเส้นทาง ที่ลอดมุดเข้าไปในโพรงด้วยความยากลำบาก เพราะบางช่วงก็แคบจนต้องปลดเป้หลังออกมาไว้ด้านหน้า เนื่องจากผนังของโพรงหินมีระดับต่ำ ทำให้เป้ที่สะพายอยู่กีดขวางและดูเกะกะไปหมด แต่บางช่วงก็สามารถรุกขึ้นยืนได้ เพราะระดับความสูงของเพดานถ้ำสูงขึ้น ลดหลั่นกันไปเป็นช่วงๆ อีกใจหนึ่งก็คิดถึงอากาศที่มีอยู่ภายใน ยิ่งเข้ามาลึกเท่าไหร่ ก็เสี่ยงที่อากาศจะเบาบางมากขึ้นเท่านั้น ถ้ามัวแต่คลำไปแบบนี้ โดยไม่สักเกตระดับของออกซิเจนที่มีภายใน ก็อาจจะขาดอากาศหายใจตายเอาง่ายๆ ขณะที่ตัวเองกำลังคิดหนักอยู่นั้นเอง อยู่ๆความคิดอะไรบางอย่างก็ดังแว่วขึ้นมาในโสตประสาท

“ขอให้ท่านจงใช้สติ และปัญญา ให้ถึงที่สุด  เมื่อนั้นแสงเทียนในใจท่าน จะส่องนำทาง ให้ท่านได้พบกับหนทางสว่าง!”มันเป็นเสียงของหล่อน ที่เคยเอ่ยขึ้นเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่เข้าจะเคลิ้มหลับไป พอนึกได้เช่นนั้น ก็รีบล้วงเข้าไปที่กระเป๋าข้างเป้สนามของตัวเองทันที ไม่เกินอึดใจก็ได้เทียนไขและไม้ขีดไฟขึ้นมา ใช่แล้วแสงเทียนจะเป็นตัวชี้บอกทางให้เขาได้พบกับหันทางสว่าง ไฟจะติดไม่ได้ ถ้าไม่มีอากาศ ถ้าเทียนติดได้ นั้นก็หมายความว่า ภายในโพรงลึกแห่งนี้ จะต้องมีอากาศถ่ายเทเข้ามา

“แช็คๆ”

“ฟู่ววว”

          ทันทีที่เปลวไฟรุกพรึบขึ้นมาบนปลายไม้ขีด ชายหนุ่มค่อยๆประคองป้องเปลวไฟนั้น เข้าไปจ่อบริเวณที่เป็นส่วนปลายของไส้เทียน เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาที บริเวณส่วนปลายของเทียนเล่มนั้นก็สว่างโพรงขึ้นมาทันที ถึงตอนนี้ไฟฉายที่ถูกเปิดใช้งานมาเป็นเวลานาน จึงถูกเลื่อนสวิทช์ปิดลง เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ และที่สำคัญ ในพื้นที่แคบและจำกัดเช่นนี้ เพียงแค่ใช้แสงไฟจากแสงเทียนเล่มนี้ ก็เพียงพอแล้ว หนำซ้ำยังเป็นเครื่องมือวัดปริมาณออกซิเจนภายในตัว เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ส่วนไฟฉายที่ปิดไว้ ก็ไม่ได้นำไปไว้ห่างตัว เพียงแต่มันถูกเสียบไว้บริเวณกระเป๋าข้างเป้สนาม ในตำแหน่งที่หยิบฉวยได้อย่างสะดวก ถ้าเกิดกรณีที่จำเป็นจะต้องใช้งานขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถหยิบฉวยได้โดยไม่ติดขัด

          ไม่มีจุดหมายหรือเส้นทางที่แน่ชัด ว่ามันจะสิ้นสุดบริเวณใด แต่จุดหมายของตัวเองมีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องรอดออกไปจากเหวนรกแห่งนี้ให้ได้ เขารู้ว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีวันตาย ไม่มีใครสามารถอยู่ค้ำฟ้าบนโลกใบนี้ได้ แต่สำหรับชายหนุ่มคิดแต่เพียงว่า คนอย่างเขาจะมาตายในสภาพทุเ รศ ที่ไม่ต่างไปจากหนูติดจั่นแบบนี้ไม่ได้ คิดแบบนี้ ก็ทำให้ตัวเองฮึดสู้ขึ้นมา ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าลงไปทุกขณะก็ตาม ถ้าใจสู้เสียอย่าง ต่อให้อยู่ในสภาพไหนก็ไม่หวั่น

          เส้นทางในโตรกหิน พาชายหนุ่มดำดิ่งเข้าไปอย่างไม่รู้ทิศทาง บางตอนก็แคบจนแทบจะต้องนอนคลานไปกับพื้น บางช่วงก็กว้างพอที่จะลุกขึ้นเดินใดอย่างสบายๆ และบางช่วงก็เป็นโพรงกว้างขนาดใหญ่ราวกับอุโมงค์ขนาดยักษ์ และบางครั้งก็มีโพรงเล็กโพรงน้อยแยกออกไปจนสับสนราวกับอยู่ในจอมปลวก ทำให้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเรื่องไปโพรงไหนดี ครั้นจะทดลองเดินสุ่มแบบโยนหินถามทาง ก็กลัวจะหลงเขาไปอีก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่อยังมั่นใจในความคิดของตัวเองที่ว่า ตราบใดที่ยังมีอากาศหายใจอยู่แบบนี้ ไม่โพรงใดก็โพรงหนึ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า จะนำพาเขาให้ออกไปจากขุมนรกแห่งนี้ ลังเลอยู่อึดใจก็เลือกที่จะมุดเข้าไปในโพรงที่ใกล้ตัวที่สุด แต่เดินเข้าไปลึกไม่เท่าไหร่ เปลวเทียนในมือ ก็มีอาการริบหรี่ๆ จนในที่สุดก็ดับลง เป็นสัญญาณบอกเตือนว่า ในโพรงที่ตัวเองพลาดเข้ามานั้นมีอากาศอยู่เบาบางมาก

          เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกสามครั้ง หลังจากทดลองเดินคลำไปตามโพรงถ้ำเบื้องหน้า จนในที่สุดก็เหลือเพียงโพรงสุดท้าย นึกอยู่ในใจว่า ถ้าเทียนดับอีก ก็คงต้องถอยกลับออกไปที่จุดเริ่มต้นครั้งแรกที่พบกับดอกช้างกระ แล้วค่อยคิดหาหนทางใหม่ ในใจก็นึกแต่คำบอกของหล่อยอยู่ตลอดเวลาที่ว่า “แสงเทียนในใจท่าน จะนำทางท่านเอง” เสียงนี้มันดังก้องอยู่ภายในใจของเขาตลอดเวลา

          โพรงสุดท้ายแล้ว ที่จะชี้ชะตาของเขา ว่าจะไปต่อหรือจะถอยกลับ ลำพังอาหารที่มีติดมา อย่างน้อยๆก็พออยู่ได้ถึงสามวัน แต่สิ่งสำคัญกว่าเสบียงก็คือน้ำ เพราะต้อนนี้มันพร่องจากกระติกลงไปมากว่าครึ่ง ถ้ามีน้ำซึมหรือน้ำซับ ที่พอจะหาได้ตามผนังถ้ำก็ยังพออยู่ได้ แต่ตลอดระยะที่ผ่านมา ไม่มีวี่แววของสิ่งที่ตัวเองมองหาเลย นอกจากหยดเหงื่อที่ไหล่ย้อยตามร่างกาย รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่เห็ดรา ไปจนถึงแมลงที่ชอบอาศัยอยู่ตามถ้ำ ก็หามีวี่แววไม่ แม้แต่ค้างคาว ที่คิดว่าชอบอาศัยอยู่ในถ้ำ จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเลยสักตัวเดียว หรือแม้แต่มูลของมัน ที่อาจจะถ่ายตกลงตามพื้นก็ไม่มีให้เห็นสักก้อน บนพื้นเท่าที่เห็นในตอนนี้ และที่ผ่านมา มีเพียงแต่ฝุ่นดินและก้อนหินเท่านั้นซึ่งมันก็กินไม่ได้

“เหลือรูสุดท้ายแล้วสินะ”

“สมใจเอ็งหรือยังล่ะไอ้สิงห์ ทีนี่ได้ผจญภัยเต็มคราบ”ชายหนุ่มคำรามสบถกับตัวเองในใจ ก่อนจะยกน้ำในกระติกขึ้นจิบ มันเป็นการจิบเพื่อให้อาการกระหายน้ำของเขาทุเลาลงบ้างเท่านั้น จากนั้นก็เดินมุดฝ่าความมืดเข้าไปในปากโพรงนั้น โดยมีเทียนที่ยาวเหลือไม่เกินสองข้อนิ้ว ที่จากเดิมมันยาวเกือบคืบ จุดสว่างนำทางเข้าไปในความมืดมิดอย่างโดดเดี่ยว

          แต่ใครจะรู้ว่า เหตุการณ์และบรรยากาศภายใต้พื้นธรณี กลับกลายเป็นตรงกันข้าม กับบรรยากาศด้านบนเหนือปากเหวนรกนั้น ความมืดมิดที่เคยกลืนกินทุกสรรพสิ่ง เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านไป ป่าใหญ่ที่เคยมืดทะมึน ก็ค่อยๆปรากฏแสงสว่างขึ้นเลือนราง ราวกับน้ำหมึก ที่ถูกเจือไปกับกระแสน้ำ แต่ความทึบทะมึนยังมิได้จางหายให้หวั่นเกรง เพราะมันถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจนหนาทึบ

“ตื่นโว้ยพวกเรา”

“ได้เวลาแล้ว”พรานเบร้องบอกคณะทั้งห้า ที่ตอนนี้พากันนั่งหลับนกอยู่ตามโขดหินบนเชิงเขา

“นี่เอ็งไม่ได้หลับเลยรึ”พรานชราร้องตอบ พลางเดินไปสะกิด พรรคพวกที่ยังนั่งหลับคอพับคออ่อน

“ใครจะไปหลับลง”

“ข้าเป็นห่วงไอ้สองคนนั้นจนนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันสองคนจะเป็นยังไงกัน”พรานเบร้องบอก พลางแสดงสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เอ็งอย่าไปคิดมาก”

“ข้าว่ามันคงเอาตัวรอดได้หรอกนา”

“อีกอย่าง ไอ้ช้างโขลงนั้น ป่านนี้มันคงเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว”พรานโส่ยร้องบอก

“อย่ามัวแต่ถามกันอยู่เลยให้เสียเวลา”

“ออกไปตามก็สิ้นเรื่อง ข้ามดงเถาวัลย์นั้นไปก็คงเจอตัวหรอก”พรานพรร้องบอก พูดจบก็ยกเป้ขึ้นมาสะพายไหล่

“จริงของเอ็งไอ้พร ไปโว้ย อย่ามัวรออะไรอยู่เลย”

“อย่าว่าแต่เอ็งเลยไอ้เบ ข้าก็ร้อนใจพอๆกับเอ็งนั่นล่ะ”พรานเฒ่าทำใจแข็งอยู่ได้ไม่นานก็ร้องบอก พลางร้องเร่งพรรคพวกที่ยังยุ้งอยู่กับสำภาระ ให้รีบจัดเก็บสำภาระต่างๆอย่างเร่งด่วน เพียงไม่นานทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง

          ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมพื้นที่จนดูหนาทึบ ถึงแม้ว่าเวลานี้ ราตรีกาลจะล่วงผ่านไปนานแล้วก็ตาม แต่ด้วยความหนาทึบของม่านหมอกที่กลืนกินสรรพสิ่งรอบทิศทาง มันจึงกลายเป็นสร้างอุปสรรคให้แก่คณะผู้ออกติดตาม เพื่อนร่วมคณะที่พลัดหลงออกไปจากกลุ่ม ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดไม่สามารถรับรู้ถึงเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด แต่ร้อยทั้งร้อย ทุกคนผวานาให้บุคคลทั้งสองปลอดภัย

          ร่องรอยความแหลกยับของบริเวณโดยรอบ ที่ช้างป่าโขลงนั้นฝากไว้ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเศษซากความเสียหายของต้นไม้ต้นไร่ ที่ถูกพวกมันทึ่งลงมาจนแหลกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่จอมปลวกขนาดใหญ่ ที่พวกมันตัวใดตัวหนึ่งชนจนล้มคว่ำเพราะความอันธพาล หรือแม้แต่ป่าเถาวัลย์ที่เคยเกาะเกี่ยวกันเป็นแผง ก็ถูกพวกมันแหวกผ่านจนเหี้ ยนเตียน ราวกับมีรถบรรทุกขับลุยผ่านสักสิบคัน เศษซากเส้นเถาวัลย์ถูกกระชากขาดลงมาเกลื่อนพื้น บ่งบอกถึงความแค้นอย่างเห็นได้ชัด จนทุกคนที่เดินผ่านบริเวณนั้น พากันหายใจหายคอไม่ค่อยจะดีนัก เพราะอดที่จะนึกเป็นห่วงบุคคลที่เหลือไม่ได้

“ข้าว่าพวกเรากระจายกันหาดีกว่า”

“ขืนเดินตามกันเป็นพรวนแบบนี้ ไม่เจอแน่”พรานแปะเสนอความคิด

“หมอกลงหนาแบบนี้ เดี๋ยวได้หลงกันตายห่า”

“ความวัวไม่ทันหาย ความควายจะมาอีกแล้ว”พรานเฒ่าร้องขัดอย่างไม่เห็นด้วย

“แต่ฉันเห็นด้วยก็พี่แปะนา”

“ดีเสียอีก จะได้ช่วยๆกันหา แยกกันห่างๆพอมองเห็นกันก็ได้นิพ่อ”เคิ้งเสนอตัวช่วย

“แบบไอ้เคิ้งว่าก็เข้าท่าตาโส่ย”

“เอาแบบนี้ เอ็งสามคนเดินฉีกไปทางโน่น ส่วนเราสามคนแยกไปทางนั้น”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกตำแหน่ง พรานแปะ เคิ้ง และพุ่ม ให้เดินเบี่ยงออกไปทางซ้ายมือ ส่วนตัวเอง พรานโส่ย และพรานพร เดินฉีกไปทางด้านขวา กลายเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดทิ้งระยะห่าง พอที่จะมองเห็นกันและกันได้ มีเพียงเจ้าพะเปรียวตัวเดียวเท่านั้น ที่วิ่งเปะปะไปมาไม่เป็นขบวน

“วู้ววว”

“ไอ้เหน๋อโว้ย...”พรานแปะป้องปากตะโกนเรียกก่อนเป็นคนแรก

“พี่สิงห์...”

“พี่..วู้ววว”เคิ้งแหกปากร้องบอกดังลั่น

“วู้ๆๆๆ”

“ไปอยู่ไหนกันหมด...วู้”พรานพรร้องเรียกบ้าง

“วู้..”

“วู้วว”พรานเบเดินพลางกู่ปากร้องเรียกไปพลาง

“เอาไงดีไอ้เบ”

“มันชักไม่ค่อยดีแล้วนา”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน

“พวกมันสองคนอาจจะเข้าไปลึกกว่านี้ก็ได้”

“ดูจากรอยไอ้ช้างป่าโขลงนั้นสิ มันเดินลุยไว้จนเละไปหมด”พรานเบร้องบอก

“น่าจะจริงของเอ็ง”

“เป็นข้าคงไม่อยู่แถวนี้หรอก โน่นในดงเถาวัลย์นั้นแหละ”พรานพรร้องบอก พลางชี้มือบอกพรานเบ ไม่เพียงแต่พรานพรที่คิดเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็คิดไปในแนวทางเดียวกันกับพรานพร เพราะถ้าตัวเองได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ก็คงต้องหนีหัวซุกหัวซุนจนถึงที่สุด ตัวเลือก ระหว่างป่าที่มีแต่ต้นไม้ กับดงเถาวัลย์ที่ขึ้นหนาทึบ ถ้าไม่อยากโดนกระทื บตาย ก็ต้องเลือกดงเถาวัลย์

“ที่เอ็งว่ามา มันฟังเข้าท่าดีวะ”

“เฮ้ย! พวกเรา เบี่ยงแนวไปทางดงเถาวัลย์นั้นเร็ว”พรานชราร้องบอก ไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วย กับความคิดของพรานเฒ่า เพราะหลังจากพรานชราร้องบอกไม่นาน รูปขบวนจึงค่อยๆถูกเปลี่ยน จากที่เดินกันดุมๆ ก็ค่อยๆเบี่ยงแนวตีโอบไปที่ดงเถาวัลย์ที่เห็นอยู่รางๆเบื้องหน้า เดินกันได้ไม่กี่ก้าว ทุกคนก็ต้องหยุด เพราะเสียงอะไรบางอย่างดังแว่ว ออกมาจากดงเถาวัลย์

“เปรี้ยงง..!”

“เฮ้ย! เงียบซิทุกคน พวกเอ็งได้ยินอย่างที่ข้าได้ยินหรือเปล่า”พรานพรร้องบอกละล่ำละลัก แต่แล้วไม่ทันที่พรานพรจะบอกอะไรต่อ ทุกคนก็ได้ยินเสียงปริศนาถนัดหู

“เปรี้ยงงง..!”

“เสียงปืน เฮ้ย! เสียงปืนจริงๆด้วยโว้ย”พรานโส่ยร้องบอกอย่างลิงโลด โดยไม่ได้บอกให้คนอื่นเตรียมตัว พรานโส่ยก็ส่งปลายกระบอกปืนแก๊ปคู่กายขึ้นฟ้า แล้วเหนี่ยวไกตูมขึ้นมาทันที เล่นเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวสะดุ้งกันไปตามๆกัน เพราะมัวแต่มองไปในทิศทางของเสียงปืนที่แว่วมา แต่สิ่งที่ทุกคนได้ยินกลับมา ทำให้แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

“เปรี้ยงๆๆ”

“เฮ้ย ชัดเลย ฮาๆ”พรานพรร้องบอก พลางหัวเราะลั่นด้วยความดีใจ

“ไปโว้ยพวกเรา ไอ้สองคนนั้นมันอยู่ในดงเถาวัลย์ชัวร์”

“ให้มันได้ยังงี้สิวะ!”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็จ้ำพรวดๆนำหน้าขบวน เข้าไปในป่าเถาวัลย์เบื้องหน้า

          ท่ามกลางความปิติยินดีของคณะ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าบุคคลที่เหลือจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร แต่เสียงปืนที่ได้ยินตอบมานั้น ทำให้หัวใจที่กระสับกระส่าย และวิตกกังวล กลับมีความหวังมากขึ้น โดยเฉพาะพรานเบ ถึงกับทำหน้าปั้นยาก ตลอดเวลาได้แต่โทษตัวเอง เพราะเป็นคนนำคณะมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ยังคิดไม่ออกว่า ถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับคณะ คนใดคนหนึ่ง แล้วตัวเขาเองจะทำเช่นไร ลำพังคนป่าคนดงอย่างเขา เป็นอะไรไปก็แค่ฝังไว้กลางป่า แต่สำหรับคนเมืองอย่างสิงห์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มคนนั้น คงคิดไม่ออกว่าจะทำเช่นไร แต่เมื่อเหตุการณ์กลับกันมาในทางที่ดีขึ้น ก็พอที่จะทำให้ยิ้มออกมาได้บ้าง ถึงแม้จะยังไม่รู้ชะตากรรมของบุคคลที่กำลังจะได้พบตัวก็ตาม อย่างน้อยๆก็ทำให้ความหวังที่ริบหรี่ ดูมีแสงสว่างมากขึ้น....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะที่ออกตามคนหายจะพบบุคคลทั้งสองหรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในตอนต่อไป*****


ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 3
ภาพที่ 2
พรานโส่ย นั่งเศร้า
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 3
ภาพที่ 3
เจ้าเคิ้งกับอีแก๊ปคู่ชีพ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 3
ภาพที่ 4
พรานพร โชว์ฝีมือทำกับข้าวป่า
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 3
ภาพที่ 5
ยำเห็ดโคนครับ.....ถ้าซื้อกินในเมืองผมว่าจานนี้หลักร้อย แต่ถ้าอยู่ในป่า สักบาทเดียวก็ไม่เสีย
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024