สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 5 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 4 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > อื่นๆ
ความเห็น: 16 - [6 ก.ย. 55, 15:11] ดู: 2,946 - [30 เม.ย. 67, 16:27] โหวต: 8
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 4
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
23 มี.ค. 55, 09:07
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 4
ภาพที่ 1
บทที่ 10

ตอนที่ 4

          ลึกเข้าไปในดงเถาวัลย์ ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันเคยห้อยกีดขวางเส้นทาง จนหนาแน่นมาเป็นเวลาช้านาน แต่ระยะเวลาเพียงข้ามคืน ดงเถาวัลย์ที่เคยเกาะเกี่ยวกันระโยงรยางค์จนแน่นขนัด ราวกับม่านกั้นฉากบนเวที ก็ดูโล่งเตียน เต็มไปด้วยรูช่องว่างขนาดใหญ่ เพราะฝีมือการกระทำของช้างโขลง ที่พากันเดินส่วนสนาม จนทั่วทั้งบริเวณหมดรูปเดิมที่เคยเป็น ต้นไม้ต้นไร่ต้นไหน ที่ขึ้นกีดขวางเส้นทาง ถ้าใหญ่พอที่จะรับแรงของช้างบ้าเลือดได้ ก็รอดไป แต่ถ้าต้นไหนที่เล็กกว่าโคนขา ก็ต้องมีอันเป็นไปเสียเกือบหมด บางต้นก็ล้มชนิดถอนรากถอนโคน หรือบางต้นโชคดีหน่อยก็แค่ล้มเอน และส่วนที่ดูยุ่งเหยิง มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น กองเถาวัลย์ขนาดต่างๆ ที่ตกเกลื่อนพื้น ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะขนาดเกือบเท่าโคนขายังถูกพวกมันกระชากจนขาด ไม่ต้องบอกขนาดที่เล็กกว่านั้น ก็คงพอที่จะนึกสภาพออก ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ว่า จะต้องใช้เวลานานอีกสักเท่าไหร่ พวกมันจึงจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

          ทั้งคณะพากันเดินลุยผ่าน เศษซากของความเสียหาย ที่หลงเหลือไว้จากการบุกตะลุยของช้างโขลงนั้น ด้วยความตื่นเต้นละคนพิศวง กับภาพความแหลกยับของพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณ ราวกับมีใครมาขับรถไถลุยไว้เสียเหี้ ยนเตียน ทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวก เพราะไม่ต้องคอยมุดลอดซุ้มเถาวัลย์และสิ่งกีดขวางอย่างเช่นเคย เพียงแต่เดินเบี่ยงเส้นทางที่มีต้นไม้ล้มกีดขวางเท่านั้น

          การเดินทางตามหาคนหาย ยังคงเป็นไปในลักษณะเดิมคือ เดินเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง โดยทิ้งระยะห่างกันพอมองเห็นเพื่อนร่วมทาง ที่เดินขนาบทั้งซ้ายขวา ถึงแม้ป่าจะไม่รกเครืออย่างเช่นเคย แต่หมอกที่ยังลงอยู่หนาทึบเช่นนี้ ทำให้เป็นอุปสรรค ที่จะประมาทเสียมิได้ นอกจากทุกคนจะเดินเว้นช่วงห่างกันแล้ว แต่ละคนยังช่วยกันกู่ร้องเรียกหาบุคคลทั้งสองกันเป็นระยะ ร้องเรียกอยู่ไม่นาน ทุกคนเหมือนจะได้ยินเสียงกู้ตอบกลับมา  ทางด้านซ้ายของป่าทึบ

“วู้...”

“วู้...ทางนี้...”เสียงของหนึ่งในบุคคลที่พลัดหลงร้องเรียก ได้ยินแว่วๆมาแต่ไกล ทำให้คณะที่ออกติดตามหูผึ่งขึ้นมาทันที

“เฮ้ย!”

“ทางโน่นโว้ย พวกเรา”พรานแปะร้องบอกคณะ พูดจบก็กู่ปากโว๊กๆ

“อยู่ไหนกันว่ะ”

“วู้..”พรานชราร้องถาม

“ทางนี้...”

“บนหน้าผา ฉันอยู่บนหน้าผา”เสียงที่แว่วมา เริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อคณะทั้งหมดเคลื่อนเข้าไปใกล้เป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ก็พอจะฟังออกว่าเสียงที่ร้องเรียกมานั้นเป็นเสียงของเจ้าเหน๋อ แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งของบุคคลนั้นได้ถนัดนัก เพราะความหนาทึบของม่านหมอกที่ยังปกคลุมพื้นที่อยู่

“สงสัยมันจะอยู่หลังดงเถาวัลย์นั่น”

“รอยช้างลุยไว้เละไปหมด”พรานพรร้องบอกคณะ พลางก้มดูร่องรอยของช้างป่า

“นี่มันจงใจที่จะเล่นงานไอ้สองคนนั้นจริงๆ”

“ขนาดหนีกันเข้ามาในพงรกแบบนี้ ยังจะตามกันเข้ามาอีก”พรานชราร้องเสริม

“มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ต้นไม้ต้นไร่ก็มีเยอะแยะไม่รู้จักปีน”

“เป็นข้าคงปีนขึ้นไปหลบบนต้นไม้แล้ว”พรานเฒ่าร้องบอก ไม่ทันที่พรานชราจะร้องบอกอะไรต่อ พรานพรร้องขัดขึ้นมาว่า

“ก็ถ้าเป็นแก ป่านนี้คงได้ขุดหลุมฝังไปนานแล้วเหมือนกัน”

“ไม่เห็นรึ มันมากันเป็นโขยง ใครเขาจะปีนขึ้นไปทัน แล้วแกไม่เห็นอีกรึไง ขนาดต้นเท่าโคนขา พ่อยังโค่นเสียถอนราก”พรานพรโพล่งออกมาเสียงฉุนๆ

“เออๆ จริงของเอ็ง”

“ว่าแต่ พวกมันไปซุกอยู่แถวไหนกันว่ะนั่น”พรานชราร้องบอก พลางสอดส่องสายตาไปตามดงเถาวัลย์ ทันใดนั้นเอง เจ้าพุ่ม ที่เดินอยู่ริมสุดก็ร้องลั่น

“เฮ้ย!”

“ทะ..ทะ..ทุกคน มาดูอะไรนี่เร็ว”เจ้าพุ่ม ร้องบอกละล่ำละลัก

          ภายใต้ม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่หนาทึบนั้นเอง ที่ซ่อนอำพรางบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง ทำให้กะเหรี่ยงหนุ่มถึงกับยืนทำตาค้างตกตะลึง กับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ซึ่งตลอดระยะเวลาที่โตจนมาป่านนี้ ก็เพิ่งจะพบเห็น กำแพงหินขนาดมหิมา สูงตระหง่านจนมองไม่เห็นส่วนปลายยอด เพราะถูกกลืนหายเข้าไปในม่านหมอก แต่ส่วนนั้นยังไม่สามารถทำทำให้ดูขนลุกมากไปกว่า บริเวณที่ดูเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่

“นี่มันถ้ำอะไรของมันวะนั่น”

“เกิดมาเพิ่งจะเคยพบเคยเห็น”พรานแปะร้องลั่น หลังจากวิ่งเขามาสมทบเป็นคนแรก

“ฉ..ฉัน กะ ก็ไม่รู้เหมือนกันพี่แปะ”

“กะ กะ เกิดมา ฉะ  ฉันก็เพิ่ง คะ เคยเห็นนี่แหละ”เจ้าพุ่มตอนนี้กลายเป็นคนติดอ่างไปชั่วขณะ ไม่เพียงแต่ชายทั้งสองเท่านั้นที่พากันตกตะลึง บุคคลอื่นๆ ที่พากันมาถึงก็มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่คนที่ไม่ได้มีอาการใดๆเลย มีเพียงอยู่คนเดียวเท่านั้นก็คือ พรานเบ

“วู้”

“บนนี้ ผมอยู่บนนี้”เสียงเจ้าเหน๋อตะโกนเรียกโวกๆ อยู่บนชะง่อนหินบนหน้าผา ทำให้ทุกคนพากันหันขึ้นไปมอง

“เฮ้ย!”

“นั่นมันไอ้เหน๋อนี่หว่า”พรานโส่ยร้องบอก พลางป้องหน้ามอง

“ไอ้ช้างพวกนั้นมันไปกันหมดแล้วหรือยัง”

“ฉันจะได้ลงไปจากที่นี้เสียที”เจ้าเหน๋อร้องถาม

“โธ่ไอ้หอ ก!”

“เอ็งลงมาได้แล้ว ถ้าพวกมันยังอยู่ พวกข้าคงมาตามพวกเอ็งสองคนไม่ได้หรอก”พรานพรตวาด

“อ้าวแล้วไอ้สิงห์ล่ะ”

“มันไปหลบอยู่ตรงไหน ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกรึ?”พรานคนเดิมร้องถาม เพราะเท่าที่เห็นมีแต่ เจ้าเหน๋อคนเดียวที่ขึ้นไปอยู่บนชะง่อนหินนั้น

“ไม่ได้อยู่ด้วยกันพี่”

“เห็นครั้งสุดท้าย ก็ตอนที่มันหนีไอ้ช้างงา เข้าไปในถ้ำ สงสัยคงแอบอยู่ในนั้นแหละ”เจ้าเหน๋อร้องตอบ พลางสาวเส้นเถาวัลย์ไต่ลงมา แต่คำตอบที่ได้ ทำให้พรานเบที่ยืนมองอยู่ถึงกับร้องลั่นด้วยความตกใจ

“ห่ะ!”

“เอ็งว่าอะไรนะไอ้เหน๋อ พูดมาชัดๆสิ”พรานนำทางร้องถามอย่างร้อนรน

“ก็ไอ้สิงห์มันหนีช้างเข้าไปในถ้ำนั้นแหละ”

“ไม่รู้มันเข้าไปยันไหน ผมเรียกจนคอแทบแตกมันยังไม่ออกมาเลย จะลงไปตามก็กลัวไอ้ช้างโขลงนั้นจะอยู่แถวนี้”เหน๋อร้องบอกหลังจาก ไต่ลงมาถึงพื้นดิน

“ฉิ บหาย”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วพวกเรา”พรานเบร้องบอกคณะ พลางแสดงสีหน้าเป็นกังวล อย่างเห็นได้ชัด

“มันยังไงกันว่ะ ไอ้เบ”

“ไอ้สิงห์คงหลบอยู่ในถ้ำ อย่างที่ไอ้เหน๋อมันว่านั้นแหละ ไม่เห็นจะต้องตกอกตกใจขนาดนี้เลย ดีไม่ดีเผลอหลับยังไม่ตื่นล่ะมั๊ง?”พรานชราร้องตอบ

“แกรู้หรือเปล่า”

“ว่าไอ้ถ้ำที่แกเห็นนั่นล่ะ มันเป็นถ้ำอะไร”พรานเบร้องถาม แต่คนที่ตอบแทนพรานเฒ่า กลับกลายเป็นพรานพร

“ป่าดำ!”

“ใช่! ทางเข้าไปป่าดำ ที่เอ็งเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่าวะ”พรานพรร้องถาม พลางจ้องหน้าพรานเบตาไม่กระพริบ แทนคำตอบ พรานที่ถูกถามก็พยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบว่าใช่ ทำให้คนที่ได้รับคำตอบ ถึงกับใจหายวูบ

“พูดเป็นเล่นไปนาไอ้พร”

“ป่าดง ป่าดำอะไรที่ไหนกัน มันอาจจะเป็นแค่ถ้ำธรรมดาๆก็ได้”พรานชราร้องขัด

“ฉันก็อย่าให้มันเป็นไปตามที่แกว่าตาโส่ย”

“แต่ร้อยทั้งร้อย ข้าว่าไอ้ถ้ำนี้ล่ะ มันคือทางเข้าไป ป่าดำ”พรานเบร้องตอบพรานชรา พูดจบก็งัดเอาบุหรี่ยาเส้น ออกมามวนสูบจนควันโขมง

“ทีนี้ พวกเราจะเอายังไงดี”

“เรื่องมันชักบานปลายไปกันใหญ่แล้วข้าว่า”พรานแปะร้องถาม

“เป็นเพราะข้าคนเดียวแท้ๆ ที่พามันมา”

“รวมถึงพวกเอ็งด้วย ที่ข้าพามาลำบากเกือบเอาชีวิตไม่รอด”พรานเบตอบอย่างคน สารภาพผิด

“เอ็งก็พูดไปไอ้เบ ไม่มีใครผิดทั้งนั้น”

“อย่าโทษตัวเองเลย ถ้าผิดก็ผิดกันทุกคนนั้นแหละ”พรานพรร้องปลอบ

“บางทีไอ้สิงห์มันอาจจะเข้าไปได้ไม่ไกล อาจจะหลับอย่างที่ไอ้เหน๋อมันว่าก็ได้”

“เอ็งอย่าด่วนตัดสินใจไปเลย ช่วยกันเรียกดู บางที่มันอาจจะได้ยิน”พรานชราร้องบอกมาอีกคน

“ไม่มีประโยชน์หรอกตาโส่ย”

“ถ้าเรียกแล้วมันได้ยิน ก็คงออกมาแล้ว นี่ไอ้เหน๋อมันก็ยิงปืนเรียกพวกเราตั้งหลายนัด ขนาดมันอยู่ใกล้กว่าเรามันยังไม่ได้ยินเลย”พรานเบพูดอย่างคนสิ้นหวัง

“จะไปยากอะไรวะ ก็เข้าไปตามกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

“มัวแต่พูดกัน ไม่ได้ประโยชน์”พรานแปะโพล่งออกมา

“พูดเป็นเล่นไป ไอ้ช้างบ้าตัวนั้น มันตามไอ้สิงห์เข้าไปยังไม่ออกมาเลย”

“เข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นไม่ได้หรอก”เหน๋อว่า

“อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดวะ ข้าปล่อยให้ไอ้สิงห์ ให้อยู่แบบนั้นไม่ได้ ข้าต้องรับผิดชอบมัน”

“ดีร้ายอะไร จะได้ช่วยเหลือมันทัน”พรานเบร้องบอก

“แต่ไอ้ช้างบ้าตัวนั้นมันเจ็บอยู่นา”

“ไม่เห็นเรอะ เลือดเปรอะไปหมด”เหน๋อร้องบอก พลางชี้มือบอกคณะ ให้ดูรอยเลือดของช้างป่า ที่ตัวเองยิงเจ็บไว้ ซึ่งตอนนี้แห้งเกรอะกรังไปหมดแล้ว ซึ่งคณะก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็น

“พวกเราจะเอายังไงดีไอ้เบ”

“เสี่ยงอยู่นา”พรานชราร้องถาม

“ก็ข้าบอกไปแล้วไง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

“ถ้าคนไหนไม่อยากออกตามไปกับข้าก็ไม่เป็นไร ถึงจะมีข้าไปคนเดียวข้าก็ต้องไป”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ก่อนที่จะใช้ปลายเท้าขยี้จนดับ จากนั้นก็ทำท่าออกเดินเข้าไปในถ้ำปริศนาแห่งนั้น

“ใจเย็นโว้ยไอ้เบ”

“ข้าว่า ไม่มีใครในพวกเรา ไม่อยากไปกับเอ็งหรอกไอ้เบ แต่เราต้องใจเย็นๆกว่านี้ มาช่วยกันหาวิธีกันดีกว่า ว่าจะทำกันอย่างไงดี”พรานพรร้องบอก ทำให้พรานเบหยุดชะงัก

“จริงอย่างที่ไอ้พรมันว่า”

“มาด้วยกัน ก็ต้องกลับด้วยกัน ทิ้งกันได้อย่างไงล่ะ เอ็งพูดไม่ถนอมน้ำใจพวกข้าเลยไอ้ห่ า”พรานชราร้องบอก พูดจบก็ค้อนให้ทีหนึ่ง

“งั้นข้า ก็ต้องขอโทษพวกเอ็งทุกคนด้วยก็แล้วกัน”

“เป็นเพราะข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์มัน ก็เลยบุ่มบ่ามไปหน่อย ไม่ทันคิด”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็เดินกลับเข้ามาในกลุ่มดังเดิม

“ไม่ใช่เอ็งคนเดียว ที่เป็นห่วงไอ้สิงห์ พวกข้าก็เป็นห่วงมันเหมือนกัน ไม่ได้น้อยไปกว่าเอ็งหรอกไอ้เบ”

“แต่ไอ้ช้างเจ็บตัวนั้น มันเป็นปัญหากับพวกเรา และเราก็ไม่รู้ว่ามันไปหลบอยู่ส่วนไหนในถ้ำ ขืนเข้าไปไม่ระวังก็อาจพลาดท่ามันก็ได้”พรานพรร้องบอกเหมือนเตือนสติ แต่ไม่ทันที่คณะจะปรึกษาอะไรกันต่อ เจ้าเคิ้งที่เดินสำรวจบริเวณโดยรอบก็ร้องลั่น

“เอ๊า!ไอ้พะบอง นี่หว่า”

“เฮ้ย ไอ้พะบองตายแล้ว”เจ้าเคิ้งร้องบอกคณะ ทำให้ทุกคนพากันกรูไปที่ซากของมัน ที่ซุกอยู่ในกอเถาวัลย์ โดยเฉพาะพรานเบ ผู้เป็นเจ้านายถึงกับรีบทรุดกายลงประคองร่างนั้น ก่อนจะพูดอะไรออกมาเบาๆว่า

“โธ่...ไม่น่าเลย”

“เอ็งต้องมาตายเพราะข้าแท้ๆ”พูดจบก็ค่อยๆวางร่างไร้วิญญาณของหมาชราลงกับพื้นเช่นเดิม แต่ที่ทำให้ทั้งหมดรู้สึกสะเทือนใจก็คือ เจ้าพะเปรียว ซึ่งมันจะรู้หรือไม่ว่าเพื่อนร่วมทางของมันได้ตายไปแล้ว มันพยายามใช้จมูกดันร่างนั้น ราวกับจะปลุกเพื่อนของมันให้ตื่นขึ้น แต่ถึงมันจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำให้เพื่อนของมันตื่นขึ้นมาได้ สุดท้ายก็นอนหมอบนิ่งอยู่ข้างๆร่างอันไร้วิญญาณของเพื่อนร่วมทาง

“ไอ้พะบองมันไม่ได้ตายเปล่าหรอกน้าเบ”

“ถ้าไม่ได้มัน ไอ้สิงห์อาจแย่ก็ได้ เพราะไอ้พะบองนี่แหละ ที่ช่วยมันไว้ มันเลยมีโอกาสหนีเข้าไปในถ้ำ”เหน๋อร้องบอก พลางเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อสดๆร้อนๆของคืนที่ผ่านมาให้คณะได้รับฟัง ทำให้ทั้งหมดพอจะลำดับเหตุการณ์ต่างๆได้ชัดเจนขึ้น

“เป็นข้าก็ทำแบบไอ้สิงห์วะ”

“ข้าว่ามันคิดถูกแล้ว ที่หนีเข้าไปในนั้น”พรานพรร้องบอก หลังจากฟังเรื่องราวที่เหน๋อเล่ามา

“อ้าว”

“นั่นปืนของไอ้สิงห์นี่หว่า ทำไมไปตกอยู่ตรงนั้นว่ะ”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็เดินมุดเข้าไปหยิบปืนยาวของสิงห์ ที่ตกซุกอยู่ในดงเถาวัลย์ ทำให้คนอื่นพากันกรูเข้าไปดู

“ของไอ้สิงห์นั่นแหละ”

“นี่ยังดี ที่พวกมันไม่เห็น ถ้าเห็นคงกลายเป็นเศษเหล็ก”พรานชราร้องบอก พลางหยิบปืนของสิงห์ขึ้นมาพิจารณาความเรียบร้อย

“เอาแบบนี้ดีกว่า พวกข้าสามคนจะไปดูลู่ทางก่อน”

“ส่วนทางแก ตาโส่ย อยู่เฝ้าแถวนี้ไปก่อนแล้วกัน”พรานเบร้องบอกคณะ

“ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง เอ็งช่วยกันฝังไอ้พะบองทีเถอะวะ ข้าเห็นแล้วสงสารมัน”

“ไปไอ้เบ เราไปดูลู่ทางกันก่อนดีกว่า ไอ้แปะด้วย ไปด้วยกันกับพวกข้า ปืนผาหน้าไม้อะไรก็เตรียมกันไปให้พร้อม”พรานพรร้องสั่งกะเหรี่ยงทั้งสอง ก่อนที่จะพากันไปที่ปากถ้ำนั้น

“ไฟฉายด้วย อย่าลืม”

“ถ้าไอ้ช้างโขลงนั้นมันบุกมาอีก ก็หนีขึ้นไปอยู่บนโน่นก็แล้วกัน น่าจะรับมือไหว”พรานเบร้องบอก พลางชี้ขึ้นไปบนชะง่อนหิน ก่อนทั้งหมดจะพากันเดินไปที่ปากถ้ำ ที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า

          โดยการนำของพรานเบ ทั้งหมดจึงมาหยุดยืนอยู่ที่ปากถ้ำขนาดใหญ่ อันเปรียบเสมือนป้อมปราการด่านแรก ที่ชายทั้งสามจะต้องเข้าไปสำรวจ และออกตามหาเพื่อนร่วมทางที่ได้ผลัดเข้าไป ซึ่งตอนนี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ชะตาของชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นเช่นไร แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นไร

          ทันทีที่ทั้งสามคน ก้าวเท้าเข้าไปในปากถ้ำนั้น ความรู้สึกขนลุก ก็พลันเกิดขึ้นทันที เพราะเสียงหวีดหวิว ของเสียงลมที่ดังกระทบแง่หินที่อยู่สูงขึ้นไป มันดัง ครวญคราง ราวกับมีปีศาจร้ายแอบซุกซ่อนอยู่ในโพรงนั้น เล่นเอาพรานแปะและพรานพร รู้สึก หนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน แต่คนที่ดูไม่หวั่นไหวและแสดงปฏิกิริยาใดๆเลย ก็คือพรานเบ ตรงกันข้างกลับทำหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการใดๆที่บ่งบอกว่ากลัวมาให้เห็น ที่เห็นตอนนี้ก็คือ แววตาที่แสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างขีดสุด....






*****อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เมื่อพรานทั้งสามคนออกติดตามหาชายหนุ่ม เนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป*****


ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 4
ภาพที่ 2
กระท่อมน้อยคอยรัก ของตาโส่ย
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 4
ภาพที่ 3
กาแฟ , โอวันติน สักกระบอกมั๊ยครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 4
ภาพที่ 4
กินอยู่ง่ายๆครับ สะบายสำหรับคนที่อยู่ง่ายกินง่าย แต่อาจจะลำบากจนหน้าเขียวสำหรับคนที่กินยากอยู่ยาก(ผมว่านอนอยู่บ้านจะดีกว่า)
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 4
ภาพที่ 5
กุ้ง หอย ปู ปลา มีเยอะแยะให้เลือกหา แต่จงเลือกหาแต่พอกิน เพื่อลูกหลานในวันข้างหน้า..
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024