สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 28 เม.ย. 67
พรานผึ้งแห่งป่าบ้านนาสวน (เรื่องสั้นแต่งเองตอนเดียวจบ) : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 27 - [26 เม.ย. 57, 21:54] ดู: 5,705 - [27 เม.ย. 67, 22:11] โหวต: 14
พรานผึ้งแห่งป่าบ้านนาสวน (เรื่องสั้นแต่งเองตอนเดียวจบ)
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
16 ส.ค. 56, 19:55
1
พรานผึ้งแห่งป่าบ้านนาสวน (เรื่องสั้นแต่งเองตอนเดียวจบ)
ภาพที่ 1
          พรานผึ้งแห่งป่าบ้านปลายนาสวน

          แสงแดดร้อนจ้า ของเดือนเมษายน สาดกระทบพื้นดินจนแตกระแหง ต้นไม้ต้นไร่แห้งเหี่ยว เพราะขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงอย่างหนัก พืชไร่ที่ถูกปลูกอยู่ตามตีนเขาชายเนิน ทั้ง ข้าวโพด และข้าวไร่ เหลือแต่ลำต้นและตอซังดูแห้งกรอบเกรียม เพราะถูกแดดเผามาเป็นเวลานาน บางต้นก็ล้มหักระเนระนาดอยู่กับพื้น รวมถึงต้นไม้ตามชายเขาที่ขึ้นปะปนอยู่ในดงไผ่  บางต้นก็ทิ้งใบจนต้นดูโกร๋นเหลือแต่กิ่งก้านว่างเปล่า ตามยอดสันเขาและตีนเนินดูก็แห้งแล้ง มองไปทางไหนก็มีแต่สีเหลืองฟางข้าวแห้งเหี่ยว ไร้ชีวิตชีวา น่าหดหู่

          บนทางด่านลูกรังเก่าๆ ที่รกเครือไปด้วยต้นสาบเสือและหญ้าคา ซึ่งพากันขึ้นปกคลุมเส้นทางจนแน่นขนัด เพราะถูกปล่อยทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน  ร่างของชายกะเหรี่ยงวัยใกล้ห้าสิบค่อยๆปรากฏขึ้นหลังจากใช้มีดตัดฟันเปิดช่องทางด่าน  ติดตามมาด้วยหญิงชราวัยเจ็ดสิบที่เดินรั้งท้ายพร้อมกับกะเหรี่ยงหนุ่ม แต่ละคนแบกหามสัมภาระมาเต็มหลัง ด้วยกระสอบถุงปุ๋ยใบเก่า ซึ่งตอนนี้ถูกนำมาดัดแปลงกลายมาเป็นย่ามสะพายและเป้แบกหามอย่างดี

          ลึกเข้าไปในชายป่า แนวป่าตีนเนินที่เคยแห้งแล้ง มาบัดนี้เริ่มเห็นสีเขียวของพรรณไม้มากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะบริเวณหุบเขาใกล้ลำห้วย พืชพรรณนานาชนิด ต่างอวดใบเขียวสด ดูสดชื่นมีชีวิตชีวา สรรพสำเนียงของชีวิต ก็เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น ทั้งเสียงไก่ป่า ที่ร้องขันในหุบใดสักแห่งไกลออกไป เสียงนกนานาชนิด ที่เจื้อยแจ้วขับขานบนยอดไม้ใหญ่สูงลิบ รวมทั้งหริ่งหรีด เรไร ที่กรีดปีกบรรเลงเสียงจนฟังไม่ได้ศัพท์ นานๆครั้งก็ มีนกเงือกฝูงใหญ่บินผ่านมา เสียงปีกอันใหญ่โตของมัน บินตัดอากาศดัง หวือๆ เป็นจังหวะ พวกมันคงบินไปหากินลูกไม้ที่ใดที่หนึ่งในป่าแห่งนี้

          เส้นทางลัดเลาะไปตามหุบเขา ที่มีลำห้วยสายเล็กๆไหลริน มนุษย์ทั้งสามต่างพากันเดินอย่างไม่รีบเร่ง บ่อยครั้งก็แวะเก็บพืชพรรณที่พอจะเอามากินได้ระหว่างทาง ทั้งกล้วยป่า ผักกูด หน่อกระวาน ที่ขึ้นอยู่มากมายในดงลึก หรือบางครั้งที่มีแอ่งน้ำ หญิงชรา ก็มักจะอดไม่ได้ที่จะลงไปใช้มือล้วงงมตามซอกหินริมห้วย ไม่นานก็ได้ปลาเวียนตัวเขื่องขึ้นมาสี่ตัว แต่ละตัวใหญ่ไม่เกินข้อมือ  นอกจากปลาเวียนแล้ว ยังมี ปลากั้ง และปูห้วย อีกหลายตัว ซึ่งนั้นก็หมายถึงกับข้าวมื้อเย็น ที่ไม่ต้องซื้อหาที่ไหนให้เสียเงิน

          หลังจากบุกบั่นมาหลายชั่วโมง ในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงบริเวณจุดพักแรม ซึ่งเป็นบริเวณเนินเตี้ยๆ ริมห้วย ที่ตอนนี้มีแต่น้ำซึมออกมาเพียงเล็กน้อยตามพื้นกรวดทราย  แต่ด้วยความชำนาญและจัดเจนไพร พรานที่ดูเหมือนจะอายุมากที่สุด ก็ใช้มืออันหยาบกร้าน บรรเลงขุดคุ้ยบนพื้นกรวดที่มีน้ำไหลซึมอยู่นั้น เพียงอึดใจก็ได้แอ่งน้ำที่มีน้ำขุ่นคลักราวกับโคลนอยู่เต็มแอ่ง แต่เมื่อทิ้งระยะเวลาไม่นานนัก น้ำที่ดูขุ่นข้น ก็ใสสะอาดเพราะตกตะกอนจนสามารถนำมาใช้สอยได้อย่างไม่ยากเย็น

          ในย่ามใบเก่าคร่ำ ที่บรรจุหม้อเก่าๆกระดำกระด่าง เมื่อนำออกมาแล้วสภาพของมันบุบบู้บี้ ไม่เหลือรูปทรงและเค้าโครงเดิม รวมทั้งเสบียงต่างๆ ทั้ง ข้าวสาร พริกแห้ง เครื่องแกง ก็ถูกนำมาวางเรียงราย บนร้านที่ทำจากไม้ไผ่ผูกด้วยเถาวัลย์แบบง่ายๆ แต่ก็ดูแข็งแรงและมั่นคง ใกล้ๆกันนั้น กองไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้น เพื่อปัดเป่าและบรรเทาความน่ารำคาญ ของหมู่แมลงนานาชนิด ที่พากันไต่ตอมดูดกิน คราบเหงื่อไคล แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจความร้อนและหมอกควันของพระเพลิง ซึ่งมีบางส่วนยังคงมุ่งมานะคอยดูดกินอย่างหิวกระหาย

          บนเปลวไฟที่คลุกรุ่น หม้อใบเก่าถูกวางลงบนเตาสามเส้า ภายในนั้นมีข้าวสารเตรียมขึ้นหุง ปลาเวียนที่หามาได้เมื่อตอนสาย ถูกเสียบไม้ทาเกลือขึ้นย่างไฟอ่อนๆทั้งเกล็ด  ส่วนปลากั้งและปูห้วย ที่ทำชำแหละไว้ กำลังเดือดพล่านอยู่ในน้ำแกงที่บรรจุอยู่ในกระบอกไม้ไผ่จนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว หลังจากพรานหนุ่มปลีกตัวหายไปไม่นาน ก็กลับมาพร้อมกับลำไม้ไผ่หลายลำ แต่ละลำมีความหนาของเนื้อไม้อยู่ไม่น้อย ไผ่หนามแต่ละลำถูกพรานหนุ่มตัดทอนเป็นท่อนๆตามจำนวนลำปล้องของลำไผ่  ก่อนที่พวกมันจะถูกผ่าเป็นซี่ๆด้วยมีดประจำกายอันคมกริบ

          พรานใหญ่วัยฉกรรจ์ค่อยๆบรรจงคมมีดด้วยความชำนาญ บนซี่ไม้ไผ่ที่ตัดเตรียมไว้ตามขนาด ทั้งเหลาและปาดคมมีดลงไป เมื่อร่วมแรงทั้งสองพราน ไม่นานก็ได้ ลูกทอย ตามจำนวนที่ต้องการ  นอกจากลูกทอยนับร้อยเล่ม ที่ลงแรงช่วยกันเหลา ยังมีเครือเถาวัลย์อีกหลายเส้น แต่ละเส้นใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อย หลังจากตัดทอนความยามตามต้องการ พรานหนุ่มก็ใช้ไม้ทุบลงบนเถาวัลย์เหล่านั้นทีละเส้นๆ แต่ละเส้นถูกทุบจนแตกเป็นฝอยเล็กๆ ดูไปแล้วเหมือนชานอ้อยที่ถูกเครื่องหีบบดเอาน้ำอ้อยจนหมด

          ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จากสว่างไสว กลับกลายมาเป็นขมุกขมัวลงทุกขณะ แสงแดดที่เคยแผดเผา มาบัดนี้เปลี่ยนมาเป็นแสงสีส้ม เหมือนลูกหมากสุก จับอยู่ตามแนวเขาด้านทิศตะวันตก นกกาที่เคยเริงร่า พอหมดเวลาออกหากิน ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับรวงรัง ไก่ป่าขู่ขันบอกสัญญาณต่อสรรพสัตว์ ว่าได้เวลาเตรียมขึ้นขอนนอน ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังลับเหลี่ยมเขา ก็เป็นเวลาเดียวกับ ลูกทอย และเถาวัลย์แห้งสนิท หลังจากใช้เวลาย่างรมควันอยู่บนร้านไม้ที่ถูกขัดขึ้นแบบง่ายๆ เหนือกองไฟอยู่หลายชั่วโมง พรานหนุ่มรวบรวมลูกทอยที่ทำไว้ในย่ามกระสอบถุงปุ๋ย ก่อนที่จะเก็บมัดเส้นเถาวัลย์ประกอบรวมกันเป็นคบไฟด้วยเส้นตอก ไม่นานนักก็ได้คบไฟมัดใหญ่ยาววาเศษ

          พรานหนุ่มประกอบคบไฟเสร็จ ก็พอดีกับสำรับกับข้าวที่ถูกจัดวางบนพื้น ที่ปูทับด้วยใบตองป่า ทั้ง ปลาย่าง แกงเรียง และ น้ำพริก กำลังส่งกลิ่นหอมน่ากิน  ก่อนจะตักข้าวสวยขึ้นแจกจ่ายสมาชิก หญิงชราบรรจง ทำกระทงใบไม้แบบง่ายๆ ภายในนั้น มีข้าวสวย และกับข้าวที่ทำไว้  ซึ่งตักแบ่งมาอย่างละนิด อย่างละหน่อย เพื่อเตรียมไว้สำหรับเป็นเครื่องเซ่นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาตามทำเนียมป่า ที่พึงทำปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน

          ภายใต้แสงเหลืองนวลของเทียนเล่มน้อย ทั้งสามต่างนั่งล้อมวงกันกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งข้าวสวยที่หุงจากข้าวไร่ซ้อมมือ หอมนุ่มร้อนๆ บวกกับ กับข้าวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเองง่ายๆ ถึงแม้จะไม่ได้เลิศรส เพราะไม่ได้ พิถีพิถันมากนัก  แต่ได้บรรยากาศที่รายล้อม ก็เหมือนเพิ่มชูรสไปในตัว บรรยากาศดี กับข้าวอร่อย ไม่นาน ข้าวก้อนสุดท้ายที่เหลือติดก้นหม้อ ก็หมดลงอย่างคุ้มค่า ทำให้เรียกกำลังวังชาและเรี่ยวแรงได้เป็นอย่างดี อิ่มข้าว อิ่มน้ำ และนั่งสูบยาเส้นจนได้ที่ พรานหนุ่มก็รวบรวมสัมภาระต่างๆขึ้นสะพายบ่า ทั้งลูกทอย คบไฟ และม่วนเชือก ถูกบรรจุแน่นในกระสอบถุงปุ๋ยใบเก่าจนล้นปริ ส่วนกะเหรี่ยงวัยกลางคน ที่ไหล่ซ้ายสะพายปี๊บ ซึ่งถูกถักทอด้วยเชือกปอแทนสายสะพายดูแน่นหนา ภายในปี๊บมีแกลลอนใส่น้ำถังใหญ่ ที่ถูกบรรจุน้ำอยู่เต็ม ที่ไหล่ขวาสะพายปืนแก๊ปกระบอกยาว สภาพของมันดูสมบุกสมบันพอๆกับเจ้าของ ที่กรำแดดกรำฝนมานานหลายปี

          ท่ามกลางความมืดมิด ในคืนแรมเก้าค่ำที่มืดสนิท ไฟฉายและไฟคาดหัวแบบแบตเตอร์รี่ทั้งสามดวง ก็สาดส่องไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว โดยการนำทางของพรานใหญ่ ที่ชำนาญเส้นทางและภูมิประเทศ แค่มองต้นไม้และเหลี่ยมเขา ก็สามารถนำทางได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแผนที่ ติดตามมาด้วยกะเหรี่ยงหนุ่ม ที่แบกสัมภาระมาจนหลังแอ่น และหญิงชรา ที่เดินสะพายย่ามใบเล็กอยู่รั้งท้ายมาห่างๆ บางครั้งก็ต้องหยุดพักเป็นระยะๆ เพราะเส้นทางมีความสูงชันยากลำบากมากขึ้นทุกขณะ  แต่ด้วยความทรหดอดทนของเผ่าพันธุ์ ก็ทำให้ทั้งสามถึงที่จุดหมายปลายทางได้อย่างไม่ยากเย็น

          บนเนินเขาที่ถูกปกคุมไปด้วยป่าไผ่และ ดงกระวาน บนเนินนั้นเองที่ปรากฏต้นไม้สูงใหญ่หลายคนโอบ ยืนต้นตระหง่านเห็นแต่ลำต้นขาวโพลนน่าเกรงขาม ทุกครั้งเมื่อต้องแสงไฟจากมนุษย์  ซึ่งตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก เมื่อเทียบกับขนาดความใหญ่โต  พูรากไม้บริเวณโคนต้นที่แผ่ขยายคอยยึดติดฐานราก ก็ดูใหญ่โตจนสามารถบดบังช้างได้ทั้งตัว บ่งบอกถึงอายุไขที่ยาวนานของมัน ลำต้นที่สูงชะลูด จนแสงไฟฉายไม่สามารถส่องไปถึงเรือนยอดที่อยู่ด่านบน  มีเพียงเงาทะมึนของกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่เท่านั้น  ที่ทอดขวางเมื่อมองย้อนขึ้นไปตัดกับหมู่ดาวบนทองฟ้า ซึ่งตอนนี้สว่างไสวระรานตาไปหมด

          หลังจากถากถางบริเวณที่พอจะจัดวางเครื่องไม้เครื่องมือ  ที่แบกหามกันมาเรียบร้อย  หญิงชราก็จัดแจง ตระเตรียมน้ำปรุงน้ำอบที่นำมา  พร้อมกับกรวยใบไม้ที่อัดแน่นไปด้วยช่อดอกและยอดใบ  ที่หาเด็ดดึงได้ในบริเวณ  เปรียบเสมอช่อดอกไม้ขอขมา ส่วนน้ำปรุงเป็นเครื่องเซ่นบรรณาการ  หลังจากบริกรรมคาถา และกล่าวคำขมาลาโทษ  เจ้าป่า  เจ้าเขา  รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย  ที่ปกปักรักษาพื้นป่า  ท่ามกลางแสงเทียนวอบแวม ให้รู้ถึงเจตนาของพวกตน  ซึ่งไม่ได้คิดล่วงเกิน แต่เพราะเหตุจำเป็นและปากท้องอันขัดสนหมดหนทาง

          พรานหนุ่มสูดอากาศเข้าปอดลึก ก่อนที่จะจรดลูกทอยเล่มแรก บนพูรากไม้พร้อมๆกับบริกรรมคาถาลงกำกับ แล้วลงแรงตอกลูกทอยด้วยสันขวานสามครั้ง เพื่อเป็นการสะกดดวงวิญญาณนางไม้ที่สิงสถิต ไม่ให้เกิดความพิโรธ ตามความเชื้อที่ถือปฏิบัติกันมาแต่บรรพบุรุษ รวมแล้วต้องตอกสะกดนางไม้ด้วยลูกทอยสามเล่มเป็นอันจบพิธีการ

          เสียงหริ่งหรีด เรไร ที่พากันกรีดปีกระงมป่า คละเคล้ากับเสียงกึกก้องเป็นจังหวะของลูกทอย ที่ถูกตอกตีอย่างหนักหน่วง ลูกทอยทำจากไม้ไผ่เนื้อหนา เมื่อถูกรมควันด้วยความร้อนจนแห้งสนิท ก็ทำให้เนื้อไม้ที่อ่อนนิ่ม กลับแข่งแรงเนื้อแกร่งราวกับโลหะ ทุกครั้งที่สันขวานกระทบส่วนหัวของลูกทอย ส่วนปลายที่มีความแหลมคมของมัน ก็จะแทรกเข้าไปในเนื้อไม้อย่างง่ายดาย ยิ่งส่วนปลายของลูกทอยฝังลึกลงไปในเนื้อไม้มากเท่าไหร่ เสียงที่กึกก้องออกมา ก็ฟังดูหนักแน่นมากเท่านั้น ลูกทอยเล่มแล้ว เล่มเล่า ที่ถูกตอกติดลงไปบนต้นไม้สูงใหญ่ ล้วนแล้วแต่นำพากะเหรี่ยงหนุ่ม ให้ไต่สูงขึ้นไปตามลำดับ ทุกส่วนในร่างกายที่ทำงานกันอย่างสัมพันธ์ ไม่ว่าแขน ขา และฝ่าเท้าที่เปลือยเปล่า คอยโหนรั้งตัวเองจากความสูง ไร้ซึ่งอุปกรณ์ป้องกันความผิดพลาด ดังนั้นทุกจังหวะการก้าวเหยียบบนลูกทอยแต่ละเล่ม ต้องมีความมั่นคง และแข็งแรง บวกกับสมาธิที่แน่วแน่ของกะเหรี่ยงหนุ่ม ซึ่งถ้าพลาด นั่นก็หมายถึงชีวิตของตนเอง และความลำบากของมารดาที่แก่ชราจะต้องเผชิญชะตากรรมโดยลำพัง

          จากความสูงไม่กี่เมตร ที่ลำไฟฉายจากเบื้องล่างสาดส่องถึง เพียงระยะเวลาไม่นาน ร่างของพรานหนุ่มก็ลับหายไปในความมืด พร้อมๆกับเสียงสันขวานกระทบลูกทอยเป็นจังหวะดังสะท้านก้องไปทั้งหุบเขา พอๆกับเสียงจังหวะหัวใจของคนที่เฝ้ามองด้วยใจระทึก และเป็นห่วง

          เหงื่อที่ชุ่มโชกอาบร่างกาย บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าและกระหายน้ำของพรานหนุ่ม หลังจากไต่ลงมาตามลูกทอยจนมาถึงพื้นดินเบื้องล่าง น้ำในแกลลอนใบเก่า จึงถูกยกกระดกลงคอที่แหบแห้งเพื่อดับความกระหาย หลังจากหยุดพักจนหายเหนื่อย พรานหนุ่มก็ไต่กลับขึ้นไปบนต้นไม้ตามลูกทอย พร้อมๆกับปลายเชือกไนลอน ที่มัดผูกติดเอวขึ้นไปด้วย ทีละเมตรๆ ที่เชือกถูกสาวขึ้นไปหลังจากพรานหนุ่มขึ้นถึงคาคบ และไม่นานปลายเชือกที่เคยถูกผูกเอว ก็ปลิวระร่อนตกลงมาสู้พื้นเบื้องล่าง

ถังปี๊บ คบไฟ และมีดเหน็บ ถูกบรรจุและมัดรวมกับปลายเชือกอย่างแน่นหนา พรานใหญ่ออกแรงสาวเชือก เพื่อชักรอกเอาอุปกรณ์ต่างๆ  ออกแรงอยู่ไม่นานสิ่งของทุกอย่างที่ผูกไว้ก็ขึ้นไปถึงจุดหมาย

          บนกิ่งก้านที่ใหญ่โต พรานหนุ่มค่อยๆคืบคาน โอบประคองร่างกายตัวเองไปตามคาคบ เมื่อถึงตำแหน่งของรวงรังที่หมายตา เสียงกระหึ่มของฝูงผึ้งหลวงนับหมื่นก็ร้องทายทักอย่างไม่เป็นมิตร แต่เพราะด้วยความมืดในยามค่ำคืน ทำให้พวกมันไม่รู้ทิศทางของผู้บุกรุก ถึงแม้จะพยายามกระพือปีกนับหมื่นคู่เพื่อข่มขู่ ก็ไม่สามารถหยุดยังความตั้งใจของพรานหนุ่มลงไปได้ จังหวะนั้นเอง ที่เปลวไฟจากคบเพลิงก็ถูกจุดขึ้นอย่างง่ายดาย หลังจากโบกคบไฟไปมาจนส่งควันและเปลวไฟลุกโหม ฝูงผึ้งที่คอยจับจ้องอยู่ก่อนแล้วก็เตรียมพร้อมที่จะโจมตี เมื่อคบไฟถูกตีลงบนกิ่งก้านที่สร้างรังแตกเป็นสะเก็ด ฝูงผึ้งที่คิดว่าแสงนั้นเป็นศัตรูก็พากันบินออกจากรังเพื่อโจมตี ลูกไฟจากคบตกสู้เบื้องล่างไม่เท่าไหร่ ก็พลันดับวูบลงกลางอากาศเพราะหมดเชื้อ  ฝูงผึ้งมากมายที่พากันบินตามลูกสะเก็ดไฟ ตางพากันบินหลงทิศทางสะเปะสะปะ ครั้นจะบินกลับรวงรังก็ไปไม่ถูก เพราะความมืดมิดกลืนกินทั้งบริเวณ

          พรานหนุ่มโบกคบตีไฟได้ไม่นาน รังผึ้งรังใหญ่เป็นวาที่เคยดำมืดไปด้วยฝูงผึ้ง ก็ดูว่างเปล่าสะอาดตา เผยให้เห็นรวงรังสีขาวนวลบริสุทธิ์ โดยเฉพาะส่วนบนที่ติดกับคาคบเหนือรัง ดูอวบอิ่มไปด้วยน้ำหวานสีเหลืองอำพันปูดโปน มีดเหน็บที่คาดติดเอว ถูกนำมาถืออยู่ในมือของพรานหนุ่ม หลังจากขยับร่างกายให้ถนัด ก็บรรจงปาดคมมีดไปที่รังด้วยความระมัดระวัง ว่ากลัวจะกระทบหัวน้ำหวาน หลังจากส่วนรวงรังถูกตัดจนขาดตกลงมา ปี๊บที่มีสายคล้อง ก็ถูกย้ายไปอยู่ใต้คาคบ ซึ่งตอนนี้มีแต่หัวน้ำหวาน  พรานหนุ่มค่อยๆปาดเฉือนหัวน้ำหวานเหล่านั้นอย่างบรรจงด้วยมีดลงปี๊บ พยายามสอดส่องจนแน่ในว่าเก็บหมด ปี๊บที่นำขึ้นไปก็ได้น้ำผึ้งป่าอยู่เกือบเต็ม

          เสียงสัญญาณกู้ร้องจากด้านบน บ่งบอกให้พรานที่อยู่ด้านล่างได้ปล่อยเชือกสาวปี๊บลงมาอย่างช้าๆ น้ำผึ้งในปี๊บมีปริมาณมากจึงมีน้ำหนัก ทำให้ต้องระมัดระวังทุกขั้นตอน ถ้าพลาดพลังเชือกขาด หรือสายคล้องหลุด นั่นก็หมายถึงความหายนะที่เพียรพยายามมา

          หญิงชราก้าวเดินส่องไฟหาเก็บรังผึ้งที่ถูกตัด ทั้งรังอ่อนที่อัดแน่นไปด้วยตัวอ่อน และรังแก่ รวบรวมใส่กระสอบถุงปุ๋ยอย่างรู้คุณค่า ไม่ทิ้งให้เสียเปล่า ตัวอ่อนนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง ทั้งย่างไฟ ทำหมก และต้มแกง ล้วนแต่เป็นเมนูที่คิดไว้ในใจของหญิงชรา รังแก่ไร้ตัวอ่อนก็ไม่ทิ้ง เพราะเอามารวมแล้วต้มเคี้ยวจะได้ไขเทียนไว้เก็บขายเสริมรายได้ ส่วนพรานใหญ่หลังจากสาวเชือกจนปี๊บที่มีแต่น้ำผึ้งลงมาอยู่ตรงหน้า ก็จัดแจงเก็บเศษไม้และตัวอ่อน ที่ตกหล่นลงไป รวมทั้งรังผึ้ง ขี้ผึ้ง ที่ไม่ต้องการ เพราะจะทำให้เสียรสชาติด้วยความเปรี้ยว ด้วยมืออันเปล่าเปลือย พรานใหญ่ค่อยๆบีบคั่นน้ำหวานจากรวงรัง ออกแรงบีบไม่เท่าไหร่ หัวน้ำหวานที่อัดแน่นอยู่ในรังก็ไหลทะลักออกมา พร้อมๆกับความหวังของรายได้ที่จะได้มา

          เสียงกึกก้องของลูกทอย ยังคงดังสะท้อนก้องหุบเขา ในป่าบ้านนาสวน พรานผึ้งยังคงทำหน้าที่ของตน ทุกๆเดือนห้าของทุกปี และยังคงได้ยินตลอดชั่วอายุคน ถ้าป่าไม้แหล่งอาหารของพวกเขายังอุดมสมบูรณ์ ป่าที่เปรียบเสมือนบ้านและห้องครัว  ที่คอยหล่อเลี้ยงต่อเติมชีวิตอันแร้นแค้น บุคคลเชื้อชาติกลุ่มเล็กๆ ได้อาศัยพื้นป่าเลี้ยงปากท้องตามมีตามเกิด ผิดกับนายทุนมากมายอิทธิพล ที่จ้องจะกอบโกยหาผลประโยชน์จากผืนป่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....



*****************จบ*******************

ผิดพลาดหรือตกหล่นประการใด ผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

น้าๆสามารถติ ชม ได้เต็มที่ครับ ไม่มีเคืองกันแน่นอน และสำหรับนิยายแนวผจญภัย(ธุดงค์ไพร) ภาค 2 ยังเขียนไม่จบนะครับ แต่มีภาคต่อจาก ภาคที่แล้วแน่นอน อดใจรอกันหน่อยนะครับ









กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024