สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 24 เม.ย. 67
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน ผัดพริกแกง : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 18 - [24 พ.ย. 58, 16:03] ดู: 5,112 - [20 เม.ย. 67, 04:01] ติดตาม: 3 โหวต: 10
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน ผัดพริกแกง
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
10 ต.ค. 58, 09:23
1
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน ผัดพริกแกง
ภาพที่ 1
ผัดพริกแกง





เข้าปลายเดือนกุมภาพันธ์ อากาศแห้งแล้งแต่ยังคงหนาวเย็นอยู่ ตามทิวเขาที่เต็มไปด้วยต้นไผ่และกอรวก ดูเหลืองอร่าม เพราะพวกมันเริ่มทิ้งใบให้เห็นกันบ้างแล้ว นานๆทีถึงจะมองเห็นสีเขียวสดตัดเป็นจุดๆ มันเป็นต้นแจงที่ขึ้นแทรกอยู่ประปนกันไปกับกอไผ่และกอรวกแสงแดดแผดเผา ทำให้พืชไร่ จำพวกข้าวโพด ที่ปลูกอยู่ตามเชิงเขาตีนเนิน เริ่มจะยืนต้นตายกันแล้ว เพราะหมดอายุไขของพวกมัน ใบของมันดูเหลืองแห้งกรอบ ผิดกับฝักที่ดูอวบอิ่ม ซึ่งภายในนั้นถูกอัดแน่นไปด้วยเมล็ดสีเหลืองส้ม บางต้นก็ล้มระเนระนาดเพราะแรงลม และบางต้นก็ถูกศัตรูพืชนานาชนิดเข้าเล่นงานผลผลิต



ปลายเดินนั้นผมได้มีโอกาสไปเที่ยวป่าบ้านปลายนาสวน หลังจากขอลาพักร้อนมาได้สี่ห้าวัน หลังเลิกงานวันนั้นก็รีบควบตะบึงซูซูกิ คาลิเบียน คันเก่งของผมโดยทันที่ ส่วนของและเสบียงต่างๆจัดเตรียมไว้ก่อนลางานได้เสียอีก เรียกง่ายๆว่าถึงเจ้านายไม่ให้ลา ก็คงต้องหน้าด้านขาดงานเอาจนได้เพราะนั่งดูตารางงานและปฏิทินแล้ว ถ้าพลาดโอกาสนี้ ก็คงต้องรออีกยาวกว่าจะมีโอกาสอีกครั้ง



กว่าจะขับรถฝ่ารถติดของกรุงเทพฯมาได้ ก็พาลเอาอารมณ์เสีย เพราะจำนวนรถที่มากมายนับไม่ถ้วน ทั้ง รถยนต์ส่วนบุคคล รถประจำทาง รถบัส รถเมล์ แท็กซี่ ยันพี่วิน มอเตอร์ไซค์ เยอะแยะไปหมด อากาศก็ร้อนแถมแอร์ปรับอากาศในรถก็ไม่มี ต้องลดกระจกนั่งดมควันอยู่แบบนั้นร่วมชั่วโมง มาสะดวกและคล่องตัวก็ต่อเมื่อผ่านตลิ่งชันมาแล้ว จากจุดนี้ก็ต้องนั่งตัวโยกไปอีกเกือบสองชั่วโมง ถึงจะขึ้นทางแยกไปเขาตับเต่า ระหว่างทางไปน้ำตกเอราวัณ และอำเภอศรีสวัสดิ์ เส้นทางนี้พอเข้าฤดูแล้งแล้วต้องระวังช้างป่า ที่มักจะดอดลงมากินน้ำในเขื่อนอยู่เรื่อย ยิ่งเวลาโพล้เพล้นี่ ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะค่ำมืด ช้างป่ายิ่งชอบ แถมตัวมันเองยังดูสีออกดำๆด่างๆ กลืนไปกับบรรยากาศ ขับไม่ดูตาม้าตาเรือ ต้องมีจิ้มตูดกันบ้าง ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วกับนักเดินทางที่ไม่รู้เส้นทาง และไม่ได้ระมัดระวังตัวมาก่อน ผลที่ได้ถ้าไม่ตายก็คางเหลืองนอนหยอดข้าวต้มกันไป



ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ที่ต้องขับรถบนถนนที่คดเคี้ยว ทั้งขึ้นเขาไต่ทางชัน ซึ่งก็ต้องระมัดระวังอีกเช่นเคย เพราะเส้นทางมีโค้งมากเหลือเกิน เข้าโค้งที่ต้องนั่งเกร็งจนท้องแข็ง เพราะรถที่ใส่ยางโตขนาด 33 นิ้วแถมเทรินเพลาอีกต่างหาก เวลาเข้าโค้งแต่ละที รถโยกไหววูบวาบ ลงจากเนินเขามาแล้ว ก็มาแยกขวาที่สามแยกท่ากระดาน จากนั้นก็ต้องขับยาวไปอีกสิบกว่ากิโลเมตร เส้นทางนี้ขับรถง่ายเพราะส่วนมากจะเป็นทางราบปกติ จะมีโค้งและเนินอยู่บ้างแต่ก็มีประปราย



        ผมขับรถมาถึง แพขนานยนต์ หรือคนพื้นที่ส่วนใหญ่มักจะเรียกว่า เท้ง ก็ราวๆห้าทุ่มเศษ รอจนรถเกือบเต็มแพล่วงเวลาเข้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง แพที่ผมสัญนจรถึงจะขยับออก ช่วงเวลานี้ก็เลยถือโอกาสได้พักรถพักคน เพราะบนแพมีห้องน้ำห้องท่าให้บริการ ร้านค้าก็มีแต่ตอนที่ผมไปถึงเขาปิดเสียแล้ว ถ้ามาช่วงเช้า คงได้ซื้อน้ำซื้อขนมมากินรองท้องจริงๆแล้วมันมีเส้นทางเลี่ยงไม่ต้องขึ้นแพก็ได้ เผื่อบางคนไม่อยากรอนาน ก่อนถึงแพขนานยนต์ ให้สังเกตทางแยกขวามือ จะมีป้อมด่านตรวจเป็นจุดสังเกต ตรงนั้นจะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ถนนเส้นนี้จะวิ่งเลาะไปตามเชิงเขาเป็นรูปตัวยู ซึ่งมันจะเลาะไปบรรจบที่เส้นทางเดียวกันกับที่ผมจะข้ามไป แต่จะต้องขับรถราวๆ 25 กิโลเมตร ถึงจะอ้อมไปถึงฝั่งโน้นได้ ใครสนใจจะเปลี่ยนบรรยากาศก็สามารถไปได้นะครับ แต่สำหรับผมขอนอนเล่นรอจนแพออกดีกว่า โธ่ 25 กิโลเมตรไม่ใช่ใกล้ๆนะครับ แถมเส้นทางก็คดเคี้ยวเหลือเกิน บ้านช่องห้องหับก็ไม่ค่อยจะมี เกิดรถเสีย น้ำมันหมด ได้นอนกินข้าวลิงแน่ๆไม่มีพลาด



นั่งๆนอนๆฟังเสียงเครื่องยนต์ขนาด 16 วาล์ว ของแพขนานยนต์ครางกระหึ่มได้สักพัก แพขนานยนต์ที่ผมสัญจรมาด้วย ก็เสือกหัวเกยฝั่งถึงที่หมาย รอพนักงานสาวรอกโซ่กำมะลอ ทอดสะพานลงก็ขับรถผ่านไปได้ แต่ก่อนขับรถออกจากแพ อย่าลืมจ่ายค่าบริการนะครับ 60 บาท ราคานี้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว หรือถ้าใครจะให้ทิป พนักงานก็คงไม่ว่าอะไร ผมถึงเลือกที่จะรอข้ามแพดีกว่าขับรถอ้อมเขา 25 กิโลเมตร ไกลก็ไกล น้ำมันก็เปลือง จ่าย 60 บาท ถูกกว่ากันเยอะ



ลงจากแพขนาดยนต์มาได้ ก็ต้องขับรถหน้าตั้งไปอีกยี่สิบกว่ากิโลเมตร กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ตลอดเส้นทางมีแต่ไร่ซาก และไร่ข้าวโพดที่รอการเก็บเกี่ยว สลับไปกับป่าเต็งรัง ที่ขึ้นเบียดชิดตลอดสองข้างทาง ขับรถลงเนินมาไม่นาน ก็เข้าเขต บ้านปากนาสวน ถ้าแยกซ้ายมือ จะไปทางลงแพขนานยนต์อีกที่หนึ่ง จุดนี้สามารถข้ามไปเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นได้ เลยจากจุดนั้นราวๆสิบกิโลเมตร ก็เข้าเขตบ้านปลายนาสวน ผมหักพวงมาลัยเบี่ยงรถเข้าขวามือ ตรงทางแยกเข้าโรงเรียนบ้านนาสวน และขับรถเลาะไปตามถนนเล็กๆเส้นนั้น เส้นทางที่ใช้ก็มีความสะดวกสบาย เพราะทำจากคอนกรีต ตลอดสองข้างทางจะหนาแน่นไปด้วยบ้าน แต่พอขับรถมาได้สักระยะ ถนนก็เหลือแต่ทางลูกรัง บ้านช่องที่เคยเห็นก็เริ่มบางตา จากปลูกห่างๆกัน กลับมาเป็นหลังสองหลังอยู่โด่เด่ อยู่ตามเชิงเนิน



ผมต้องลงมาปลดฟรีล็อก ของล้อคู่หน้า ก่อนจะเปลี่ยนมาใส่เกียร์สโลว์ขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะต้องลุยข้ามลำธาร และแนวหินสูงต่ำที่กันเป็นกำแพงด่านตลอดลำน้ำ บางช่วงก็ต้องตะกุยแอ่งลึกเพราะเป็นหล่มที่เคยมีควายลงไปนอนแช่ กว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ก็ต้องส่งคันเร่งจนดังลั่นหุบ กะเหรี่ยงที่ปลูกบ้านอยู่แถวๆนั้น พากันจุดตะเกียง ส่องไฟกันชุลมุนไปหมด เลยจากหล่มควายมาได้ไม่ไกล ก็ต้องค่อยๆคลำเส้นทางต่อมาอีก เนื่องจากเส้นทางคับแคบ เพราะไม่เคยมีรถวิ่งผ่าน มันแคบพอที่จะให้มอเตอร์ไซค์ และคนผ่านไปได้เท่านั้น ทั้งสองข้างทางเลยหนาแน่นไปด้วยดงหญ้าคาและสาบเสือ อายุอานามของรถที่ผมคับค่อนข้างเก่า เลยไม่ใช่ปัญหาของผมมากนัก ที่จะขับลุยไปแบบนั้น กว่าจะผ่านมาได้สีข้างรถมีแต่รอยครูดเป็นทางไปหมด ถ้ารถใหม่ๆคงหมดสิทธิทันที



“มาดึกแท้”



“ไหนว่าก่อนค่ำ”กะเหรี่ยงวัยกลางคนร้องทัก หลังจากผมขับรถเสือกหัวเข้าไปจอดชิดใต้ถุนบ้าน



“รถติด”



“กว่าจะเลิกงานอีก”ผมร้องตอบ ก่อนจะโดดลงจากรถลงไปยืนยืดเส้นยืดสาย



“มีข้าวกินเปล่า”



“หิว ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะนี่”ผมกล่าว ก่อนจะมุดเข้าไปคว้าเป้ที่อยู่ท้ายรถ



“มีแต่น้ำพริก”



“กินได้หรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวก่อไฟทอดไข่ให้ก็ได้”กะเหรี่ยงเจ้าของบ้านร้องเสริม



“ไม่ต้อง”



“เสียเวลาเปล่าๆ มีอะไรกิน ก็กินแบบนั้นล่ะ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”ผมร้องตอบ พลางดูเข็มนาฬิกาที่ตอนนี้ชี้บอกเวลามาเกือบตีสอง



“ฮึย..ไม่ได้ๆเสียชื่อหมด”



“แปบเดียวเอง เสียเวลาอะไร”เจ้าของบ้านก็เดินไปที่ครัว ก่อนจะก่อไฟบนเตาอั้งโล่จนควันโขมง



ท้องฟ้ามืดสนิท จนมองเห็นดาวบนท้องฟ้ามากมายนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีแสงจากหลอดไฟใดๆมารบกวน พวกมันต่างขับแสงสว่างระยิบระยับดูสวยงาม ผิดกับท้องฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมที่ผมอยู่เหลือเกิน นี่ล่ะครับที่ผมได้เห็นดาว เป็นดาวจริงๆ ผมยืนชมดาวได้อึดใจ น้าเบ ก็ยกสำรับกับข้าวมาบริการ ในหม้อใบเก่าดำปี๋ มองผ่านๆคิดว่าลูกนิมิต ในนั้นมีข้าวสวยที่หุงจากข้าวไร่ซ้อมมืออยู่ก้อนใหญ่ ส่วนถ้วยเล็กๆที่วางใกล้กันกับผักจิ้ม ภายในนั้นมีน้ำพริกกะเหรี่ยง หน้าตาและสีของมันคล้ายน้ำพริกเผาแต่จะดูหยาบกว่า เวลาจะกินก็ต้องผ่าแตงเปรี้ยวแล้วคว้านเอาไส้ของแตงเปรี้ยวมาคลุกเคล้าผสม กินอร่อยดีเหมือนกัน เวลากินก็แนมกับลูกและยอดฟักข้าวต้ม หรือยอดผักกูด ยิ่งกินกับไข่เจียวร้อนๆนี่ไม่มีที่ติ ทั้งร้อนทั้งเผ็ด อากาศเย็นๆแบบนี้ถึงกับเหงื่อท่วม



“พรุ่งนี้ออกไหนดีน้า”



“จัดแบบไกลๆเลยนะ นานๆได้ไปสักที”ผมกล่าว ก่อนจะกระดกเหล้าโลงขึ้นจิบจนร้อนวูบไปทั้งท้อง



“เดินไปเรื่อยๆ”



“ค่ำไหนนอนนั้น ชอบน้ำหรือชอบแห้งล่ะ”กะเหรี่ยงผู้เป็นพรานนำทางร้องตอบ ก่อนจะยืดบุหรี่ใบจากที่อยู่ในมือ ไปต่อกับไฟที่ตะเกียงรั่ว



“แบบไหนก็ได้จัดมาเลยน้า”



“มีน้ำกินน้ำใช้พอ”ผมตอบ พรานเบดูดบุหรี่จนแก้มตอบ แล้วตอบผมมาว่า



“แยกขึ้นไปทางห้วยสดก็แล้วกัน”



“น้ำท่ายังพอมีให้ใช้บ้าง ถ้าแยกไปทางห้วยแห้ง น้ำไม่ค่อยมี”พรานนำทางกล่าวจบ ก็ดีดขี้บุหรี่ลงตามช่องพื้นบ้าน



“แล้วแต่น้าเบเลย”



“พรุ่งนี้มีใครไปบ้างล่ะ นอกจาก ไอ้เคิ้ง กับ ไอ้พุ่ม”ผมร้องถาม ก่อนจะยกเหล้าขึ้นเติมเกือบเต็มจอกแล้วส่งให้แก



“ข้าชวนไอ้พรไว้อีกคน”



“พรุ่งนี้เช้าคงมา เอ็งเตรียมอะไรมาบ้างล่ะ”พรานเบพูดจบก็ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด



“มีแต่เสื้อผ้า”



“ข้าวสารอะไรนี่ ยังไม่ได้เตรียมเลย รีบมาไม่ได้แวะไหน พรุ่งนี้ว่าจะออกไปซื้อที่ร้านค้าปากทาง”ผมตอบ



“ไม่ต้องซื้ออะไรไปมาก พริกเกลือ ก็พอ”



“ข้าวสารไม่ต้อง บ้านข้าเยอะแยะ แถวโน่นปลาพอหากินได้อยู่ หรือจะซื้อปลากระป๋องติดไปด้วยก็แล้วแต่”พรานนำทางกล่าว



“แหม่...จะไปเที่ยวป่ากับพรานใหญ่ทั้งที”



“มันต้องลุยๆกันหน่อย ถึงจะได้รสชาติ ไปกับน้าเบผมไม่กลัวอดหรอก”ผมกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนจะส่งเหล้าอีกจอกเพื่อเป็นการคารวะ



“นอนกันดีกว่าน้า”



“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ เมื่อยไปหมดแล้วนี่”ผมกล่าวพลางอ้าปากหาว



อากาศเย็นยะเยือก เพราะยังไม่ล่วงผ่านฤดูหนาว สำหรับคืนนี้ ผมคงต้องถือวิสาสะ บอกกับตัวเองว่าน้ำไม่ไหล ถึงแม้จะได้ยินเสียงน้ำในลำห้วยหลังบ้านไหลรินอยู่ก็ตาม อาจจะเหนียวตัวอยู่บ้างแต่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้คงไม่ไหว คืนนั้นผมผูกเปลนอนเข้ากับเสาบ้าน อากาศเย็นจนปวดกระดูกไปหมด พยายามขดตัวในถุงนอนให้มากที่สุดก็ยังทนแทบไม่ไหว ขนาดนอนอยู่ในกระท่อมชายดงยังหนาวขนาดนี้ ในป่าดงพงไพร จะหนาวขนาดไหน ผมคิดอยู่หวั่นๆก่อนจะเคลิ้มหลับไป



อากาศในยามเช้าสดชื่นและหนาวเย็น บรรยากาศโดยรอบถูกปลกคลุมไปด้วยสายหมอก พอมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้เลือนราง ตามหุบห้วยริมน้ำ พอจะมองเห็นสายน้ำใสไหลรินอยู่ตลอดเวลา ระดับของมันลึกตื้นบ้างเป็นบางช่วง น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นพื้นเบื้องล่าง ที่มีแต่กรวดหินเม็ดทราย และหมู่ปลาน้อยใหญ่มากมาย พวกมันพากันว่ายวนเวียนอยู่ตามวังน้ำวน  แข่งกับจิงโจ้น้ำที่ไหวตัวโยกโย้อยู่บนผิวน้ำเป็นกลุ่มๆ



หลังจากล้างหน้าแปลงฟันจนสดชื่น ต่อด้วยกาแฟร้อนๆจนหมดแก้ว ผมก็ควบรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งของพรานเบ มุ่งตรงไปที่ปากทางหน้าหมู่บ้าน กว่าจะไปถึงร้านค้าได้ ก็เกือบล้มคว่ำไปหลายรอบ เพราะเส้นทางที่สมบุกสมบันเหลือเกิน ถึงร้านค้าที่ผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าของ ก็ลงไปเลือกซื้อเสบียงต่างๆ ผมซื้อ พริกแห้ง หอมกระเทียมอย่างละนิดหน่อย และ น้ำมันพืช กะเอาพอเป็นพิธี ที่เหลือพวก ข่า ตะไคร้ มะขามเปียกอะไรนี่ ไปหาเอาแถวบ้าน เพราะมีปลูกไว้เป็นดง



          ที่ร้านค้ามีของขายหลายอย่าง นอกจากสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันแล้ว พวกเครื่องมือการเกษตรก็มีเยอะ ทั้ง ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช ก็มีมากมายหลายชนิดให้เลือก ขนมนมเนยก็มีเยอะแยะไปหมด ผมซื้อขนมมาหลายอย่างเพราะกะเอามาฝากเด็กๆข้างในหมู่บ้านด้วย มันกลายเป็นทำเนียมของผมไปเสียแล้ว ไปทีไรก็ต้องซื้อมาฝากทุกที ส่วนที่จะติดเอาเข้าป่าไปด้วยก็จะเป็นพวกขนมหวานแห้งๆ พวกถั่วตัด ขนมปังกรอบ ผมเห็นที่ร้านเขาขายพวกพริกแกงที่ตำไว้สำเร็จ เลยซื้อติดเข้าไปด้วยครึ่งกิโล กะว่าจะเอาไปแกงอะไรกินกันในป่า จะได้ไม่ต้องไปนั่งโขลกให้เสียเวลา



“ไปกันได้หรือยังล่ะ”



        “สายแล้วนา”ผมร้องเร่งพรานนำทาง



“รอไอ้พุ่ม กะไอ้เคิ้ง”



“โน่นมาแล้ว”น้าเบร้องบอก พลางยกเป้สะพายขึ้นบ่า



“ไปกันกี่คนน้า”



“น้าพรก็ยังไม่มา”ผมร้อมถาม



“เดี๋ยวก็โผล่”



“บอกมันไว้แล้ว เดินกันไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวมันมาไม่เจอก็ตามไปเองแหละ”พรานนำทางกล่าว จากนั้นก็เดินสาวเท้านำทาง เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็เห็นน้าพรขวบรถมอเตอร์ไซค์มาจนตัวโก่ง



“รอด้วยดี๊”



“รีบกันแท้ วัยรุ่นกันจริงๆ”น้าพรร้องบอก ก่อนจะเสือกหัวรถมอเตอร์ไซค์ซ่อนไว้ข้างทาง



กว่าพวกเราทั้ง 5 คน ซึ่งมีผม น้าเบ น้าพร ไอ้เคิ้ง และไอ้พุ่ม มารวมตัวได้ครบจริงๆก็เกือบเที่ยง เพราะมัวแต่เอ้อระเหยลอยชายกันเป็นนานสองนาน ดีที่อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เพราะจุดที่เรามารวมตัวอยู่ในกลางดงทึบตอนหนึ่งของป่าห้วยแห้ง ห้วยแห้งที่ผมว่า มันก็แห้งแล้งสมชื่อจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับแล้นแค้นอะไรมากนัก เพราะสภาพโดยรอบยังคงความอุดมสมบูรณ์ และยังมีความชุ่มชื่นอยู่บ้างเพราะเป็นลำห้วยขนาดใหญ่พอสมควร แต่ติดตรงที่เป็นทางลาดชัน ทำให้ไม่สามารถเก็บกักน้ำเอาไว้ได้ นานๆทีจะเห็นตาน้ำหยดติ๋งๆ ตามโขดหินใหญ่ แต่ถ้าเป็นฤดูฝน ลำห้วยนี้จะเจิ่งนองไปด้วยน้ำป่า ซึ่งพอจะคาดเดาได้จากระดับความสูงของเศษซากใบไม้ใบหญ้า ที่ลอยไปติดค่างตามโขดหินและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมห้วย บางจุดที่พวกเราเดินผ่านก็สูงท่วมหัวเลยก็มี



น้าเบพานำไต่เนินเขา จนพวกเราเหงื่อท่วมไปตามๆกัน บางช่วงบางตอนก็ต้องใช้มือทั้งสองข้างคอยไต่ยันพื้นไว้ตลอด เพราะความชันและความลื่นของพื้นดินที่เราเหยียบ บ่อยครั้งที่ดอกยางของรองเท้าผ้าใบเอาไม่อยู่ ก็ต้องพลาดเอาหน้าจูบดินไปตั้งหลายหน กว่าจะพ้นเนินนรกนี้ไปได้ แต่ละคนสารรูปดูไม่จืดไปตามๆกัน



เย็นนั้นพวกเรายึดเอาชัยภูมิที่ตั้งแค้มป์พักแรมกันจุดแรก ตรงบริเวณริมห้วยแห้งตอนหนึ่ง ซึ่งก้นห้วยพอที่จะมีน้ำไหลซึมออกมาจากพื้นทรายนิดหน่อย ผมประทับใจในตัวน้าเบ หรือพรานกะเหรี่ยงคนนี้มาก เพราะแกมีความชำนาญในเรื่องอยู่ป่าอยู่ดงเป็นพิเศษ ความรู้เรื่องป่า ส่วนใหญ่ผมก็ได้วิชามาจากแกนี่แหละ ใครมันจะไปรู้หรือทันได้คิด ว่าลำห้วยแห้งๆจะสามารถขุดหาน้ำได้ง่ายๆ ผมเห็นน้าเบแกขุดๆคุ้ยๆอยู่พักเดียว น้ำก็เต็มแอ่งแล้ว ปล่อยทิ้งให้ตะกอนมันตก ก็ได้น้ำใสแจ๋วไว้ใช้ดื่มกิน แต่ก่อนกินก็ต้องเอาไปต้มก่อนกันเหนียว



นอกจากน้ำที่เราจำเป็นจะต้องใช้แล้ว อาหารก็สำคัญ ถ้าเป็นพรานกะเหรี่ยงส่วนมาก เขาจะเตรียมไปแค่ข้าวสารกับเครื่องแกงนิดหน่อยเช่น หัวหอม กระเทียม พริกแห้ง เกลือ แค่นี้จริงๆ แต่ผมนี่พรานสมัครเล่น เทียบเท่าเด็กเตรียมอนุบาล ต้องเรียนรู้อีกเยอะ อะไรขนไปได้ผมแบบไปเพียบ เอามาแม้แต่พริกแกงสำเร็จ ก่อนเอามาก็ถูกท้วงแล้วว่าไม่ดีจะกำหละ มันเป็นเคล็ด ผมมันหัวสมัยใหม่ ดื้อไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้



อาหารเย็นวันนั้นนอกจากข้าวสวยร้อนๆที่หุงในหม้อสนามสองใบ กับข้าวก็มีต้มส้มปูห้วยใส่ผักกูด กับน้ำพริกแตงเปรี้ยวที่เหลือจากเมื่อวาน กินทีน้ำหูน้ำตาร่วง เพราะความเผ็ดของมัน ปูห้วยเจ้าเคิ้งกับเจ้าพุ่มไปหาขุดมาตามคันห้วย ก็พอเอามาประกอบอาหารกินได้หลายตัว ปูห้วยช่วงนี้แลดูเนื้อแน่น เวลาเอาไปเผาไฟแล้ว พอแกะกระดองออกมาจะเห็นมันปูสีเหลืองอมส้มน่ากิน เวลาจะกินถ้าจะให้อร่อย ก็โรยเกลือสักหน่อย คลุกขยำข้าวกิน หรือเคล้าๆกับน้ำพริกรสจัดด้วยแล้ว อร่อยอย่าบอกใคร



ต้มส้มกะเหรี่ยงเขาทำง่ายๆ วัตถุดิบอะไรก็หาได้รอบๆตัว ปูห้วยพาหามาได้ก็เอามาแกะกระดองออก ส่วนที่เป็นเนื้อตรงตัวปู ที่มีขาปูยาวเก้งก้าง ก็เอามีดสับปลายขาทิ้ง เด็ดส่วนที่เป็นปอดทิ้งไป ผักหญ้าที่เอามาใส่ ที่เห็นบ่อยๆก็ผักกูด แต่ถ้าไม่มีจริงๆ หยวกกล้วยป่าก็เด็ดไม่เบา เตรียมเครื่องไว้แล้ว ก็ตั้งน้ำให้เดือด เติมเครื่องแกง จุดนี้พริกแกงของผมก็ไม่เสียเที่ยว เติมพอประมาณให้น้ำแดงๆ เติมเกลือ ตามด้วยมะขามเปียกสองสามฝัก พอเนื้อมะขามเริ่มยุ่ยก็ใส่ปูลงไป ตามด้วยผัก ชิมดูจะออกเปรี้ยวๆเค็มๆ เป็นอันใช้ได้ ปูห้วยสดๆต้มในน้ำแกง เนื้อจะออกหวานอร่อย ซดร้อนๆโล่งคอดีแท้



หลังจากอาหารเย็นมื้อนั้น พวกเราต่างกันผูกหาที่ผูกเปลกันกระจัดกระจาย ผมก็ผูกเปลนอนอยู่แถวนั้น บรรยากาศในช่วงหัวค่ำเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ และไม่นานนักก็หนาวยะเยือกขึ้นทุกที มันหนาวจนไม่อยากจะขยับออกจากเปล หนักเข้าผมทนไม่ไหว ก็ต้องลุกขึ้นมานั่งผิงไฟอยู่ข้างๆเจ้าเคิ้ง ที่นอนสบายใจเฉิบอยู่บนพื้นผ้าใบ ที่ปูอยู่ใกล้ๆกองไฟนั่นแหละ ส่วนกะเหรี่ยงคนอื่นๆ แยกย้ายออกส่องไฟไปตามเรื่องตามราว ตัวผมไม่ค่อยเน้นสักเท่าไหร่พวกเรื่องพวกนี้ แค่มาเที่ยวเอาความสนุกความบันเทิงและรสชาติของลูกผู้ชาย มีนึกสนุกออกส่องกับเขาบ้างแต่ก็ไม่เจออะไรนอกจาก นกเค้าแมว กับ ลิงลมที่อยู่บนยอดไม้สูงลิบเดินส่องไฟได้ไม่นานก็ต้องเลิกราวาศอก เพราะทนหนาวและความง่วงของตัวเองไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนขดเป็นกุ้งเผาอยู่ในเปลเหมือนเดิม



เช้าวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับอาการไข้อ่อนๆ รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว แถมด้วยอาการเจ็บคอนิดหน่อย ไข้หวัดกำลังเล่นงานผมให้เข้าแล้ว แต่ด้วยเพราะกลัวว่าจะเสียฟอร์มพรานกะเหรี่ยง ก็ดื้อด้านฝืนทนไปแบบนั้น โชคดีที่ผมพกพวกยาสามัญติดตัวไปด้วย ก็พอจะทุเลาลงบ้าง มาหนักอีกครั้งก็ตอนได้ขึ้นไปนอนบนเขาเหนือลำห้วยที่นอนกันในคืนแรก บนเขาลูกนี้มีต้นไทรอยู่หลายต้น แต่ละต้นกำลังออกลูกดกเต็มไปหมด นกเขาเปล้า กระรอก กระแต มีเยอะแยะไปหมด พวกมันพากันจิกกินลูกไทร ดูแล้วเพลินตา โดนเฉพาะนกเขาเปล้า ลงทีเป็นร้อยๆตัว บางทีโชคดีนั่งเงียบๆ ก็มีนกเงือกบินมาเกาะ ตัวมันใหญ่น้ำหนักเยอะ ลงแต่ละทีลูกไทรร่วงกราว ผมนึกเปรี้ยวปากเลยเก็บลูกไทรลูกเท่าหัวแม่มือที่ตกอยู่เกลื่อนเต็มพื้น ลูกเหมือนลูกโพธิ์สีออกดำๆ เอามาแตะๆที่ปลายลิ้นดู พอเดารสชาติออกอมเปรี้ยวอมหวาน ชั่งใจอยู่พักหนึ่งก็โยนเข้าปากเคี้ยวกินทันที ผมนึกเอาเองว่า ถ้านกกินได้ คนก็กินได้ แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ อันนี้โชคผมดีที่ยังไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้นั่งโม้อยู่แบบนี้



เขาลูกนี้ กะเหรี่ยงที่พาผมไปเข้าให้นามว่า ตีนตก ก็คงจะตกสมชื่ออีกตามเคย ผมว่าไอ้เนินนรกที่ผ่านมาตอนแรกโหดแล้ว มาเจอเนินลูกนี้ ยิ่งนรกกว่า เล่นเอาเสียผมเดินท้อเลย ไข้ก็ขึ้นแต่ทนฝืนเอาไว้เพราะกลัวเสียฟอร์ม จนไม่ไหวจริงๆเลยร้องบอกให้พรานกะเหรี่ยงหยุดพักเอาดื้อๆ



“นอนแถวนี้เถอะน้า”



“ต้นไทรเยอะดี นกก็เยอะแยะ”ผมร้องบอก



“น้ำท่าก็ไม่มี”



“ลำบากนะ ขึ้นไปข้างบนดีกว่า พอหาน้ำได้”พรานนำทางร้องตอบ



“ตรงนี้แหละ”



“เหมาะ กลางคืนน่าจะเจออีเห็น”ผมตื้อไม่หยุด เพราะสังขารไม่ไหวแล้วจริงๆ และดูเหมือนว่าเหล่ากะเหรี่ยงทั้งหลายจะรับรู้ถึงความผิดปกติของผมเข้าเสียแล้ว



“เอ๊า ตรงนี้ก็ตรงนี้”



“เองสองคนตามข้ามา เดี๋ยวไปช่วยกันหาบน้ำขึ้นมาใช้”น้าพร ร้องบอกเสียงขุ่นกับเด็กกะเหรี่ยงสองคนที่ตามไปด้วย ไม่รู้ว่าแกเหน็บผมหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย เห็นเดินนำดุ่มๆเลาะไปตามเนินนั้นไป



“จะกินอะไรล่ะทีนี่”



“อยู่ไกลน้ำปูปลาก็หายาก”น้าเบร้องบอก ก่อนจะหัวเราะหึๆในลำคอ



“นกหนูอะไรก็ได้”



“ตะกี้เดินผ่านต้นไทรมา เห็นลงเป็นร้อยๆตัว ผมกินง่ายอยู่ง่าย”ผมร้องบอก



“เยอะ แต่ต้องเดินกลับไปอีกไกล”



“รออยู่คนเดียวได้หรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปนั่งดูสักพัก”น้าเบร้องบอกจนผมสะดุ้ง เมื่อได้ยินว่าอยู่คนเดียว



“หึ”



“อยู่นี่แหละ รอพวกนั้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยไป”ผมร้องปฏิเสธพลางสั่นหัวดิก เป็นปลาดุกถูกทุบ



“กว่าจะขึ้นมามืดค่ำกันพอดี”



“แถวนี้ลูกไทรมันร่วงหมดแล้ว”พรานนำทางร้องบอก ซึ่งผมเองก็เพิ่งจะสังเกตว่า ดงไทรที่ผมพักอยู่ จริงอยู่ที่มีต้นของมันมากมาย แต่ผมลืมดูไปว่า ลูกของมันไม่มีแม้แต่ลูกเดียวบนต้น ไอ้ที่ผมเห็นที่ผ่านๆมา พวกเราเดินเลยกันมาไกลพอสมควร ถ้าจะย้อนกลับไปก็คงจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะพวกที่ลงไปเอาน้ำข้างล่างไม่รู้ว่าเราจะย้าย ก็เลยต้องจำยอมนั่งคอตกอยู่แบบนั้น



“เดี๋ยวข้าจะเดินหาอะไรแถวๆนี้ดูก่อน”



“เมื่อช่วงฝน เจอรูอ้นไว้รูหนึ่ง อยู่แถวๆนี้แหละ เดี๋ยวจะไปดูว่ายังมีตัวอยู่หรือเปล่า เอ็งรอข้าอยู่ที่นี้แหละ ไม่ต้องออกไปไหน ไปไม่ไกลแถวๆนี้ เรียกก็ได้ยิน”น้าเบร้องสั่ง ก่อนจะเดินสาวเท้าหายไปในดง ผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็ได้แต่หาฟืนแห้งแถวๆนั้นมาก่อไฟรอ ฟืนแห้งหาไม่ยาก พักเดียวก็ได้กองเบ้อเร่อ ก่อกองไฟไม่นาน พวกที่หายไปเอาน้ำก็โผล่มาจากตีนเนิน พร้อมๆกับ กระบอกไม้ไผ่ลำใหญ่สูงท่วมหัว ได้ความจากเจ้าพุ่มว่า กระบอกที่เห็น คือกระบอกใส่น้ำ



“แบกมาหลังแทบหัก”



“นี่ถ้าไม่ใช่เอ็งนะ ข้าไม่ลงไปเอาเด็ดขาด”น้าพรร้องบอกเสียงหอบ ก่อนจะกระแทกกระบอกที่ใส่น้ำลงตรงหน้าผมดังตึง



“เป็นยังไงล่ะเอ็ง ดีขึ้นบ้างเปล่า”



“แล้วไอ้เบไปไหนนี่”น้าพรร้องถาม



“ก็ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว กินยาอีกสักชุดสองชุดคงดีขึ้น”



“น้าเบแกว่า จะไปดูอ้นแถวๆโน่น”ผมร้องตอบ พลางชี้มือเข้าไปในดง



“จะมืดแล้ว หุงข้าวเลยดีกว่า”



“ถ้ามีตัวคงได้กินแกงอ้น”เจ้าเคิ้งร้องบอกพร้อมเสนอเมนู



เวลาล่วงเลยไปจนใกล้ค่ำ น้าเบก็ยังไม่กลับมา ข้าวที่หุงไว้ก็สุกจนได้ที่ คงเหลือแต่กับข้าวที่ยังขาดอยู่ ความหวังของพวกเราคือน้าเบ กับอ้นที่แกว่า นอกนั้นไม่มีอะไรเลย น้ำพริกแตงเปรี้ยวก็หมดเกลี้ยงตั้งแต่มื้อก่อน ที่มีอยู่ก็แค่ พริกแห้ง หอม กระเทียม มะขามเปียก เกลือ พริกแกงสำเร็จ และน้ำมันพืชขวดเล็ก ที่เหลือติดอยู่ครึ่งขวด คนที่อยู่รอก็นั่งกันไม่เป็นสุข น้าพรแยกลงไปก้นห้วยกับเจ้าเคิ้ง แกว่าจะไปนั่งกระรอก เผื่อจะเจอสักตัวสองตัว ส่วนเจ้าพุ่มนั่งเป็นเพื่อนผม พอเริ่มโพล้เพล้เข้าไต้เข้าไฟ น้าเบและคนอื่นๆก็กลับมา



“ได้หรือเปล่าน้า”



“ไม่มีตัว น่าจะร้างไปนานแล้ว”น้าเบร้องตอบ



“น้าพรล่ะ”



“ได้อะไรกะเขาหรือเปล่า”ผมหันไปถาม



“ไม่มีตัวเลย”



“ความจริงน่าจะเจอสักตัวสองตัวนะ ไม่น่าพลาด”น้าพรว่า ก่อนจะมวนยาเส้นขึ้นสูบ



“ทีนี้จะกินข้าวกับอะไร”



“จะเดินส่องอะไรก่อนหรือเปล่า”น้าเบร้องถาม



“ไม่ต้องส่องอะไรแล้วน้า”



“มีอะไรก็กินกันแบบนั้น อยู่ป่าอยู่ดอยต้องกินง่ายอยู่ง่าย”ผมร้องบอก เรียกเอาเสียงหือฮาจากกะเหรี่ยงกันไปตามๆ



“มีอะไรบ้างล่ะ”



“พริกแกงนี่ล่ะ ผัดกับน้ำมัน เติมเกลือเสียหน่อยน่าจะกินได้”น้าพรพูดจบก็หันค้อนผมเสียทีหนึ่ง



“เอาไงก็เอา หิวแล้ว”



“วันนี้มันกำระอะไรว่ะนี่”ผมร้องบอก



“บอกแล้วว่าไม่ต้องเอามาพริกแกง”



“เป็นไงล่ะทีนี้”น้าเบร้องบอก ก่อนจะแยกเขี้ยวยิ้มฟันแหง เป็นอันว่าอาหารมื้อนั้นเต็มไปด้วยความวังเวง เพราะแต่ละคนไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากันเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ด้วยความหิว พริกแกงผัดน้ำมันใส่เกลือเปล่าๆ ก็พอที่จะทำให้พวกเรารอดตายไปได้บ้างถึงแม้จะกระเดือกลงคอแสนจะยากลำบาก แต่ผมก็แอบภูมิใจนะว่า อย่างน้อยๆพริกแกงที่ผมเอามา มันก็ไม่สูญเปล่า





จบเรื่องสั้น ตอน ผัดพริกแกง ขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ติดตามผลงานนะครับ แล้วพบกันใหม่ในเรื่องสั้นตอนต่อไป ผิดพลาดหรือตกหล่นประการใด ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน ผัดพริกแกง
ภาพที่ 2
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน ผัดพริกแกง
ภาพที่ 3
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน ผัดพริกแกง
ภาพที่ 4
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน ผัดพริกแกง
ภาพที่ 5
แก้ไข 10 ต.ค. 58, 11:33
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024