หูตึง ( หูหนวก ) หมายถึงภาวะการได้ยินเสียงลดลง อาจเป็นเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้ยินเลย ( หูหนวกสนิท ) อุบัติการณ์ของการสูญเสียการได้ยินแตกต่างกันในกลุ่มอายุและความรุนแรง ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี พบ 1.5-6 ต่อ 1,000
สาเหตุ ของการสูญเสียความสามารถในการได้ยินที่สำคัญ ได้แก่
1.การสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง ( Conductive hearing Loss ) เป็นภาวะการรับฟังเสียงบกพร่อง เนื่องจากมีสิ่งกีดขวาง เช่น ขี้หู หรือ น้ำในช่องหู เป็นผลจากโรคที่ทำให้มีความผิดปกติที่หูชั้นนอก และหูชั้นกลางไม่สามารถส่งผ่านคลื่นเสียงไปสู่หูชั้นในได้ โรคที่พบบ่อย แก้วหูทะลุ หูชั้นกลางอักเสบ
2.การสูญเสียการได้ยินชนิดประสาทรับฟังเสียงบกพร่องหรือประสาทเสื่อม( Sensorineual hearing Loss -SNHL ) เกิดจาก ความผิดปกติของหูชั้นในหรือประสาทรับฟัง เสียงสามารถเดินทางเข้าไปในหูส่วนในได้แต่เซลส์ขนในหูส่วนในตายหรือหมดสมรรถภาพสัญญาณจึงไม่สามารถเดินทางไปถึงสมองได้ โรคที่พบ เช่น โรคเมเนียส์ โรคซิฟิลิส หัดเยอรมัน พิษจากยา หูตึงในคนสูงอายุ( 80% มักเกิดจากสาเหตุนี้ ) หูตึงจากการประกอบอาชีพ
พยาธิสภาพและลักษณะทางคลินิก
ตรวจร่างกายพบว่าพยาธิสภาพอยู่ที่หูชั้นนอกหรือหูชั้นกลางมีประวัติผิดปกติ มีของเหลวไหลจากหู เช่น เลือดหรือหนอง ฟังเสียงชัดเจนในที่มีเสียงดังมากกว่าในที่เงียบ มักพูดเสียงเบามีเสียงรบกวนในหูเป็นเสียงต่ำ ในกรณี หูชั้นในผิดปกติจะได้ยินเสียงชัด ในที่เงียบมากกว่าที่จอแจมักพูดเสียงดัง พูดไม่ชัด มีเสียงรบกวนในหูเป็นเสียงสูง เวียนศีรษะ ถ้าประสาทฟังเสียงบกพร่องในระดับรุนแรงแต่กำเนิดจะเป็นใบ้
ายการตลอดมีชีพ ในผู้ใหญ่อายุ18-80 ปี พบ ร้อยละ 16.1
การแบ่งระดับความพิการของหูออกเป็น 6 ระดับ โดยเฉลี่ยการได้ยินที่ความถี่
500 2,000 Hz เริ่มตั้งแต่หูปกติจนถึงระดับหูหนวก
มากกว่า ไม่มากกว่า
หูปกติ - 27 - - ปกติ
หูตึงระดับ 1 27 40 หูตึงน้อย - ไม่ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ
หูตึงระดับ 2 40 55 หูตึงปานกลาง - พูดเสียงธรรมดาไม่ได้ยิน
หูตึงระดับ 3 55 70 หูตึงมาก - พูดดังเต็มที่แล้วยังไม่ได้ยิน
หูตึงระดับ 4 70 93 หูตึงอย่างรุนแรง - ต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียงจึงจะได้ยิน
110 หูหนวก - ใช้เครื่องขยายเสียงแล้วยังไม่เข้าใจ
การรักษา การสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง สามารถแก้ไขให้หายได้ด้วยการรักษาทางยา หรือการผ่าตัดส่วนการสูญเสียการได้ยินทางประสาทรับฟังบกพร่อง ( ประสาทเสื่อม ) ในปัจจุบันนี้ไม่มีวิธีการใดๆ ทั้งการให้ยาหรือการผ่าตัดที่จะสามารถใช้รักษาให้การได้ยินดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่สูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง หรือหูตึงอย่างถาวรไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้แนะนำให้ใช้เครื่องช่วยฟัง
การป้องกัน
1. ดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง ระวังมิให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
เชื้อโรคจะเข้าหูได้
2. หลีกเลี่ยงการแคะหู เพราะ จะเกิดแผลเยื่อแก้วหูทะลุ
3. หลีกเลี่ยงการกระแทกบริเวณหูและศีรษะ
4. หลีกเลี่ยงการรับเสียงดัง โดยมีอุปกรณ์ป้องกันเสียงตลอดเวลาทำงาน
5. รับการตรวจสมรรถภาพการได้ยินประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
6. ถ้ามีอาการผิดปกติเรื่องการได้ยินควรพบแพทย์ทันที
อ้างอิง
กรมควบคุมโรคติดต่อ สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
คู่มือการเฝ้าระวังการสูญเสียการได้ยิน : กุมภาพันธ์ 2547 หน้า 1-4