สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 26 เม.ย. 67
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > อื่นๆ
ความเห็น: 32 - [19 ต.ค. 60, 16:19] ดู: 6,595 - [24 เม.ย. 67, 10:38] ติดตาม: 6 โหวต: 17
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
26 ส.ค. 60, 16:19
1
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 1
น้ำพริกกะเหรี่ยง

          เข้าช่วงปลายเดือน กรกฎาคม หลังจากเริ่มหมดฤดูมรสุมใหม่ๆ  แต่ก็ยังมีฝนอยู่บ้างเป็นประปราย อากาศตลอดทั้งวันจึงมีความชื้นสูง เมฆหมอกลอยปกคลุม ตามทิวเขาอยู่ต่ำๆ ถ้ามองจากที่สูงก็แลดูเหมือนทะเลหมอก ที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา พืชพรรณตามชายป่าและยอดเขาตีนเนิน ต่างชูช่ออวดยอดใบดูเขียวขจีสดชื่น น้ำในลำห้วยลำคลองดูเจิ่งนองเต็มตลิ่ง เพราะปีนี้ป่ารับน้ำฝนในปริมาณมาก พอดินอุ้มน้ำจนชุ่มฉ่ำ ส่วนเกินก็ค่อยๆรินไหลซึมไปตามตาน้ำ หลายๆที่เข้า ก็ไหลรวมมาเป็นสายธาร คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งต่อไปตามวัฏจักร

          ตามที่ราบระหว่างหุบเขา แปลงนาดูเขียวขจี เพราะต้นกล้าข้าวที่ถูกปักดำไว้ พากันเจริญเติบโตงอกงาม พอๆกับตามเนินชายเขา ต้นข้าวโพดที่หยอดเมล็ดพันธุ์ทิ้งไวก่อนฝนลง ก็เริ่มงอกงามดูเป็นทิวแถว สลับกับข้าวไร่ที่พากันแตกหน่อแตกกอ ฤดูนี้จึงมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าป่าไม้ พืชไร่ และสัตว์ป่า ต่างก็ดูมีชีวิตชีวาด้วยกันทั้งนั้น เมื่อป่าไม้และน้ำอุดมสมบูรณ์ อาหารก็พลอยมากมีตามไปด้วย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็สามารถเสาะแสวงหามาเก็บกินได้มาอย่างไม่ยากเย็น ถ้ารู้วิธี  ยิ่งเป็นพืชผัดด้วยแล้ว ยิ่งง่ายต่อการเก็บกิน ทั้ง หน่อไม้ หน่อไร่ ที่ขึ้นอยู่ตามเนินเขาอยู่เป็นดง ต่างพากันแทงหน่อแตกกอตามผิวดิน แต่ละหน่อดูอวบอ้วนน่ากิน นอกจากจะได้หน่อไม้ไว้เก็บกินแล้ว สิ่งที่มักพบได้ก็คงหนีไม่พ้นพวก เห็ดโคน เห็ดขอน ที่มักจะขึ้นตามดินตามกอไผ่อยู่เสมอ

          พ้นจากเนินเขา ตามชายป่าชายดง ก็มีผักให้เก็บกินหลายชนิด ทั้ง กล้วยป่า พืชสารพัดประโยชน์ ตั้งแต่เนื้อด้านในลำต้นที่เรียกว่า หยวก ที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายแบบ ไม่ว่าจะแกงป่า แกงส้ม หรือแม้แต่กินสดๆกับน้ำพริก ก็รสชาติดีไม่แพ้ผักชนิดอื่นๆ ดอกของต้นกล้วย ที่เรียกว่าหัวปลี ก็เช่นกัน ถ้าคนเข้าใจทำกิน ก็ประดิษฐ์ดัดแปลงได้หลายเมนูตามจะสรรหา หรือแม้แต่ใบของมัน ที่เรียกว่า ใบตอง ก็เอามาใช้ประโยชน์ ได้หลากหลาย เพราะคุณสมบัติของมัน ที่ไม่เป็นพิษ จึงนำมาห่ออาหารได้ทั้งคาวหวาน ไปจนถึงใช้หลบแดดหลบฝน ตลอดจนใช้ในพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา ก็ล้วนต้องมีพืชชนิดนี้อยู่ด้วยเสมอ  ผลของกล้วยป่า ถึงแม้จะมีเมล็ดเยอะ แต่ในคราวจำเป็นที่เราอยู่ในป่า  ก็สามารถประทังความหิวได้ไม่มากก็น้อย

          นอกจากกล้วยป่า พืชสารพัดประโยชน์แล้ว ตามริมห้วย ริมคลองก็มักจะเจอต้นบอน ที่กินได้ตั้งแต่ ใบ ก้าน ดอก และหน่อ หรือที่เรียกว่าไหลบอน ก็สามารถนำมาประกาบอาหารได้เช่นกัน นอกจากบอนแล้ว พืชอีกชนิดที่มักจะเห็นควบคู่กันเสมอคือ ผักกูด พืชตระกูล เฟิร์น ที่ยอดของมันนำมากินได้ ทั้งกินสด หรือทำให้สุก แต่ก็ต้องรู้และจำแนกชนิดของมันได้ เพราะลักษณะพืชตระกูลนี้ รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกัน ถ้าสังเกตไม่ดี ก็อาจจะเก็บพืชมีพิษมากินได้ นอกจากผักกูด ก็จะมีพวก ชะพลู พืชสมุนไพรอีกชนิด นอกจากใบที่เอาไว้กินควบคู่กับหมากแล้ว ก็ยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกัน อธิเช่น แกงคั่วหอยใส่ใบชะพลู แกงแค ทางภาคเหนือ ก็ต้องใส่ใบชะพลู หรือแม้แต่ของหวานอย่างเมี่ยงคำ ก็ใช้ใบชะพลูเป็นตัวห่อเครื่องเคียงต่างๆ

          ขยับขึ้นมาจากริมห้วยริมคลองออกมาอีกหน่อย ยิ่งเป็นพื้นที่เปิด ไม่มีไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมด้วยแล้ว  ก็มักจะเจอ ต้นหวาย ที่สามารถใช้ลำต้นหรือเครือเถามาทำเครื่องจักรสานต่างๆ ซึ่งจะมีคุณสมบัติคงทนสวยงาม  ยอดหน่อของมันก็กินได้ ทั้งเอามาแกงป่า แกงเลียง หรือเผาจิ้มกินกับน้ำพริกก็อร่อย ถึงแม้จะมีรสเฝื่อนอกไปทางขมก็ตาม แถมผลของมันยังมีรสชาติดี อมเปรี้ยวอมหวาน ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ต่างก็ชอบกินเช่นกัน มะเขือพวง มะอึก ก็มักจะขึ้นให้เห็นอยู่เสมอ พอที่จะหาเก็บได้ไม่ยาก รวมไปจนถึงพริกนก หรือพริกขี้นกที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งส่วนมากจะเกิดจากพวก นกเอี้ยง นกขุนทอง ที่พากันหากินไปตามเรื่องตามราว พอบินกลับรังหรือบินผ่านอาจมีการถ่ายมูลไปด้วย ซึ่งมูลของมันนี่แหละ ที่อาจจะมีเมล็ดพันธุ์ผสมติดมา พอตกลงพื้น ได้จังหวะและเวลา ก็พากันเจริญเติบโตอย่างไม่ได้ตั้งใจ กลายเป็นผลพลอยได้โดยไม่รู้ตัว พริกนก ที่ขึ้นตามป่ามักจะมีรสเผ็ดร้อน รวมไปจนถึงกลิ่นที่หอมกว่า พริกที่ปลูกขายตามท้องตลาดทั่วไป อาจเป็นเพราะมันต้องปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อม ตามธรรมชาติ ทั้งโรคพืช โรคแมลง อาจทำให้มันต้องสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง จึงส่งผลถึงรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของมัน  ผิดกับพริกที่ปลูกขายทั่วไป ที่มีการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย และให้ยาฆ่าแมลงเป็นอย่างดี

          สายวันนั้นในระหว่างลำห้วยที่แน่นขนัดไปด้วยกอบอลและกล้วยป่า ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ ค่อยๆเดินทวนกระแสน้ำมาอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา  สายน้ำใสไหลรินจนมองเห็นฝูงปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายอยู่พลุกพล่านไปตามหมู่หิน พอได้จังหวะ แหที่ขึ้นจอมไว้บนบ่า ก็ถูกเหวี่ยงไล่ไปตามคุ้งน้ำนั้น เมื่อสิ้นละอองฝอยน้ำที่แตกกระจาย ก็ปรากฏสีเงินวับวาว สะท้อนพลิกไปพลิกมาอยู่ในแห ซึ่งหมายความว่า มีปลาติดแหของชายหนุ่ม เมื่อสาวแหขึ้นมาไว้บนก้อนหินใหญ่ ถึงได้รู้ว่ามีปลาเวียน และปลาหนามติดอยู่สี่ตัว แต่ละตัวใหญ่ไม่เกินสามนิ้ว ส่วนตัวที่เล็กว่าก็หลุดรอดตาแหออกไป หลังจากปลดปลาใส่ตะข้องเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินทวนน้ำหายเข้าไปตามโค้งน้ำเบื้องหน้า โดยเว้นระยะห่างจากคนที่ติดตามอยู่เบื้องหลังเพียงเล็กน้อย

          หญิงกะเหรี่ยงวัยชรา เนื้อตัวขะมุกขะมอม ค่อยๆเดินโผล่ออกมาจากซุ้มกอไผ่ ติดตามมาด้วยเด็กหญิงวัยไม่เกินสิบขวบ ที่เดินรั้งท้ายมาไม่ห่างนัก บนหลังของหญิงชรา สะพาย สวิงช้อนปลา และกระชุใบใหญ่ ที่สานเองจากไม้ไผ่และหวาย ภายในนั้นมี ปลาเวียน ปลากั้ง และปลาสร้อยอีกหลายตัว โดยเฉพาะปลาเวียน ที่ดูตัวเขื่องกว่าปลาชนิดอื่นที่จับได้สามสี่ตัว ส่วนกะเหรี่ยงน้อยที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยก็ไม่แพ้กัน แตกต่างกันที่ขนาดของกระชุที่ย่อมลงมามากกว่า ภายในนั้นมียอดผักกูดและผักหนามอยู่หลายยอด แต่ละยอดดูอวบยาวน่ากิน

          หลายครั้งที่สองยายหลานหยุดแวะสำรวจตามซอกโขดหินใต้น้ำริมตลิ่ง เพราะสงสัยว่าอาจมีปลาหลบซ่อนตัวอยู่ พอจัดแจงเอาสวิงปิดกันดักทางได้ที่ ก็ช่วยกันเอามือล้วงคลำไปตามซอกหลืบ ที่พอจะสอดมือเข้าไปได้ บ่อยครั้งก็ต้องร้องเอ็ดตะโรด้วยความตกใจ เพราะมือสัมผัสโดนปลา แล้วมันดิ้นสวนมือออกมา สร้างความอลหม่านระคนขบขัน ให้กับหลานสาวของแก ที่เฝ้าดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด พอคว้าจับได้ตัวก็พบว่าเป็นปลากั้งตัวเขื่อง ถึงขนาดปลาที่ได้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่มันก็สร้างรอยยิ้มให้กับคนทั้งสอง นอกจากซอกหินนั้นจะได้ปลากั้งแล้ว ใต้ก้อนหินข้างๆกันนั้น เมื่อหลานสาวจับพลิกขึ้น ก็พบกับปูห้วยตัวโต เมื่อไร้ซึ่งที่กำบังไว้หลบซุกซ่อนตัว ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะคว้ามันขึ้น ก่อนจะจับใส่ลงไปในกระชุ หญิงชราต้องออกแรงหักก้ามทั้งสองข้างของมันเสียก่อน เพราะปู เป็นสัตว์กินพืชและเนื้อสัตว์ ขืนปล่อยลงไปในกระชุ ปลาที่เพียรหากันมาก็แหลกเหลวเป็นอาหารปูเสียเปล่าๆ

“เวลาจับมันได้ ต้องหักก้ามมันออกก่อน”

“มันจะได้หมดแรงไม่หนีไปไหน แล้วก็ไม่ไปกินปลาของเราด้วย”หญิงชรากล่าวจบ ก็โยนปูห้วยตัวเขื่องพร้อมก้ามของมันลงกระชุไม้ไผ่

“โน่น...ตรงนั้นอีกตัว ซุกอยู่ใต้ใบไม้นั่น”

“จับดีๆ ระวังมันจะหนีบเอา”หญิงชราร้องเตือนหลานสาว

“นี่แหนะ จับได้แล้ว”

“หนูเก่งมั๊ยจ๊ะยาย”กะเหรี่ยงน้อยยิ้มร่าอย่างภาคภูมิ พร้อมกับชูปูห้วยที่จับได้ ให้หญิงชราดู

          ณ บริเวณลานดินใต้ร่มไม้ใหญ่ กองไฟกองขนาดย้อมๆถูกก่อขึ้นจนคุกรุ่น ส่งควันฉุยเลาะเลียบริมชายป่า ปลาเวียน ปลากั้ง ถูกเสียบไม้ขึ้นย่างไฟ สี่ห้าตัว พร้อมๆกับปูห้วยตัวใหญ่ที่นอนหงายท้องถูกเผาใกล้ๆกัน ปูห้วยถูกไฟเผาไม่นาน กระดองของมันก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม เหมือนหมากสุก ส่งกลิ่นหอมฟุ้งยั่วน้ำลาย กว่าปลาจะสุกทันได้กิน สองกะเหรี่ยงยายหลานก็เดินพ้นโค้งน้ำเข้ามาทันพอดี หลังจากชายหนุ่มนั่งสูบบุหรี่ยาเส้นจนหมดมวน ก็เดินคว้ามีดเหน็บไปที่ดงกล้วยป่า ไม่นานนักก็หอบก้านใบตองมาหลายใบ และ หยวกกล้วยป่าอีกท่อนเขื่อง

“แม่จ๊ะ...เดี๋ยวฉันจะออกไปหาเก็บผักเก็บหญ้ามาสักหน่อย”

“ตะกี้ออกไปตัดใบตอง เห็นพริกนกขึ้นอยู่เป็นดงเชียว”ชายหนุ่มร้องบอกหญิงชรา

“งั้นเรอะ...เออๆ”

“ถ้ามียอดพริกงามๆก็เก็บมาด้วยแล้วกัน”หญิงชราพูดจบ ก็ถอดผ้าขาวม้าที่ใช้โพกหัวออกมาเช็ดหน้าเช็ดตา

“จ้าแม่”

“ห่อข้าว ฉันแขวนไว้ตรงต้นไม้นะ อยู่ในย่ามนั่น”ชายหนุ่มร้องบอก ก็จะเดินหายเข้าไปในดง

          ในช่วงเวลาที่รอปลาย่างสุก สองยายหลานก็ช่วยกันจัดเรียงก้านใบตอง เพื่อมาปูพื้นแทนเสื่อ ส่วนหยวกกล้วยป่า หญิงชราเอาซุกเข้าไปในกองไฟ หลังจากใช้ไม้เขี่ยปูห้วยสี่ห้าตัวที่ลูกชายเผาทิ้งไว้ ข้าวไร่ซ้อมมือที่ปลูกกินเองเมื่อปีก่อน ที่หญิงชราห่อมาด้วยใบตอง ยังคงความหอมนุ่มน่ากิน ถึงแม้จะหุงสุกมาเมื่อเช้าก็ตาม ส่วนเด็กหญิงหลังจากเลือกยอดผักกูดผักหนามตามที่ยายบอก ก็นำไปล้างทำความสะอาดเศษดินเศษฝุ่นที่ริมห้วย เพื่อเป็นผักแนมจิ้มกินกับน้ำพริกที่ผู้เป็นยายจัดเตรียมมา น้ำพริกที่ตำมาเองอยู่ในกระปุกใบเล็กที่แกตำมาเองจากบ้าน เมื่อเปิดกระปุกก็ส่งกลิ่นหอมฉุยน่ากิน จนคนเป็นหลานแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหิว

“เติ้ง...เอ็งล้างผักเสร็จแล้วหรือยัง”

“เดี๋ยวมานั่งดูปลาย่างแทนยายก่อน”หญิงชราร้องบอกหลานสาว พูดจบแกก็ใช้ไม้ที่เสี้ยมปลายแหลม เสียบแทงลงบนหยวกกล้วยที่เผาไฟจนเหี่ยวได้ที่ ก่อนจะเดินหิ้วหยวกกล้วยเผาของแก ลงไปล้างทำความสะอาด เพื่อลอกส่วนที่ไหม้เกรียมทิ้งที่ริมห้วย

          หยวกกล้วยเผาถูกล้างทำความสะอาดเสร็จ ก็ทันปลาย่างสุกพอดี สองยายหลานต่างช่วยกันจัดเตรียมสำรับกับข้าวอย่างง่ายๆ เที่ยงนี้จึงมีเมนูอาหารบ้านป่าคือ ปลาเวียนและปลากั้งย่าง ปูห้วยเผา ยอดผักกูดผักหนาม และหยวกกล้วยป่าเผา ที่เอาไว้จิ้มแนมกับน้ำพริก ซึ่งเป็นตัวชูโรงสำหรับอาหารมื้อนี้ โดยอาหารทั้งหมดถูกจัดวางไว้บนใบตอง โดยไม่ต้องใช้จานชามให้ยุ่งยากเสียเวลา

“แปะเอ๊ย...”

“ข้าวเสร็จแล้วลูก มากินข้าวได้แล้ว”หญิงชราร้องบอกไปทางลูกชาย ที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการเก็บพริกนก

“จ้าแม่”

“เดี๋ยวฉันไป พริกมันงามเหลือเกินขออีกหน่อย”ผู้เป็นลูกร้องตอบ ขณะใช้มือไล่เด็ดเม็ดพริกไปตามกิ่งก้านของต้นพริกอย่างเพลิดเพลิน

“กินข้าวอิ่มแล้วค่อยไปเก็บต่อก็ได้”

“นางเติ้งหลานเอ็ง มันหิวข้าวแล้ว”หญิงชราผู้เป็นแม่ ร้องเร่ง

“จ้าๆ”

“ปีนี้พริกดกจริงๆ ไม่เก็บเดี๋ยวนกเอาไปกินหมดเสียดาย”ผู้เป็นลูกร้องตอบ ก่อนจะเดินหอบเสื้อมาที่วงข้าว

          สำรับกับข้าวถูกเตรียมไว้คอยท่าอยู่แล้ว หลังจากเปิดห่อเสื้อที่หอบมาให้ดู ก็ทำให้รู้ว่ามีพืชผักหลายอย่าง ทั้งมะเขือพวงช่อใหญ่ มะอึกลูกเหลืองๆที่เต็มไปด้วยขนของมันอีกหลายสิบลูก ยอดพริกอ่อนๆใบใหญ่อีกเป็นกำ และที่เด็ดสุดคือพริกนกทั้งเม็ดเขียวและแดง อีกเป็นกอบใหญ่ โดยทั้งหมดนี้ไม่ได้เสียเงินซื้อแม้แต่สตางค์แดงเดียว

          หลังจากเทพืชผักต่างๆลงรวมกันในกระชุของเด็กหญิง โดยเลือกผลมะอึกแก่จัดมาสามสี่ลูก หลังจากล้างทำความสะอาดผลมะอึกดีแล้ว คนเป็นลูกชายก็ใช้มีดเหน็บค่อยๆฝานผลมะอึกเป็นเสี้ยวเล็กๆ ลงไปในกระปุกน้ำพริก จากนั้นก็หักส่วนโคนของยอดผักกูด เอามาคนคลุกเคล้าผสม ระหว่างน้ำพริกและผลมะอึกให้เข้ากัน  แทนการใช้ช่อนที่ไม่ได้พกมาด้วย ส่วนหญิงชราก็จัดแจงตักอาหารต่างๆลงบนใบไม้ ที่ใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ บนนั้นมีข้าวสวยและกับข้าวอย่างละนิดอย่างละหน่อย ก่อนจะค่อยๆวางภาชนะใส่อาหารที่เปรียบเสมือนสิ่งของเซ่นไหว้ตามทำเนียมนั้น เพื่อเป็นการบอกกล่าวแบ่งปันเจ้าป่าเจ้าเขา ลงใต้โคนไม้ใหญ่ที่ทั้งหมดใช้เป็นร่มเงาแล้วจึงนั่งล้อมวงกินกินข้าว

“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จฉันว่าจะหาทอดแหอีกสักหน่อย”

“แม่กับเจ้าเติ้งก็หาเก็บพริกแถวๆนี้ก่อนก็ได้ พริกเยอะจริงๆตรงโน่น”ชายหนุ่มพูดพลางบุ้ยปากไปทางตำแหน่งที่หมายของดงพริก พูดจบก็เปิบข้าวด้วยมือคำใหญ่

“เออ...ก็ดีเหมือนกัน”

“เยอะแบบนี้ก็น่าเก็บหน่อยไม่เสียแรง ปีนี้ฝนดีคงดกน่าดู ถ้าเยอะนักก็ตากแดดทำพริกแห้ง”หญิงชราผู้เป็นแม่ตอบ ก่อนจะม้วนยอดผักกูดจิ้มน้ำพริกเข้าปาก

“เดี๋ยวหนูไปช่วยเก็บนะยาย”

“โอ๊ยย...น้ำพริกยายนี่เผ็ดดีแท้”เด็กหญิงร้องตอบ พลางใช้มือโบกหน้าซูดปากด้วยความเผ็ดร้อน

“เผ็ดๆแบบนี้สิดี กินข้าวจะได้อร่อยๆ”

“นี่ ต้องกินกับปลาย่างถึงเข้ากัน”ผู้เป็นยายตอบอย่างเอ็นดู พลางบิปลาย่างชิ้นใหญ่ให้หลานสาว

“เผ็ดแต่ก็อร่อยจ๊ะยาย”

“น้ำพริกที่ยายทำ อร่อยที่สุดในโลก”กะเหรี่ยงน้อยร้องบอก ก่อนเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย

          ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง และอีกไม่นานก็ลับหายไปหลังภูเขา เสียงนกเงือกร้องดังก้องหุบ ก่อนที่จะบินโผขึ้นไปเกาะเด่นบนยอดไม้ใหญ่ กระรอกท้องแดงร้องโขกตามชายป่าเป็นจังหวะ เป็นสัญญาณเตือนสิ่งผิดปกติที่มันพบเห็น และอีกไม่นาน ร่างของคนทั้งสามก็เดินเรียงแถวปรากฏออกมาจากชายดง ชายหนุ่มที่เดินนำหน้า แบกของอยู่พะลุงพะลัง ที่เอวมีตะข้องใบเขื่องที่มีปลาอยู่เกือบครึ่ง ไหล่ด้านซ้ายสะพายแห ซึ่งตอนนี้ถูกมัดรวมกันเป็นขด ส่วนไหล่ด้านขวาสะพายกระชุใบใหญ่ของหญิงชรา ซึ่งภายในนั้นมีทั้งปลาเวียน ปลากั้ง ปูห้วย รวมถึงยอดผักป่าต่างๆที่แวะเก็บกันมาเรื่อยทาง ส่วนเด็กน้อยเดินอยู่ระหว่างกลาง หลังของเธอสะพายกระชุใบน้อยใบเดิม หลังจากแยกพวกยอดผักกูดและผักหนามออกหมดแล้ว กระชุใบน้อยใบนี้ก็บรรจุ ยอดพริกนกใบงามๆ และพริกเม็ดนกหลากหลายสีสัน เพื่อง่ายต่อการคัดแยกในภายหลัง คนที่เดินรั้งท้ายคงหนีไม่พ้นหญิงชรา ที่ยังคงเดินงกๆเงิ่นๆ ต้องคอยเดินหน้าถอยหลังอยู่บ่อยๆ เพราะสวิงถูกกิ่งไม้ข้างทางเกี่ยว ถึงแม้จะมีเพียงสวิงช้อนปลาเท่านั้น แต่ก็ไม่ปล่อยพื้นที่ให้เสียเปล่า เพราะในสวิง มีมะเขือพวก และลูกมะอึกอยู่เป็นกอบ แต่ในการเดินฝ่าดงสาบเสือเป็นเรื่องยากสำหรับหญิงชรา เพราะสายตาเริ่มพร่ามัวไปตามวัย

          ณ กระท่อมหลังน้อย ที่สร้างโดดเด่นอยู่บนเนินริมทุ่งนา ตอนนี้เริ่มปรากฏควันไฟจางๆจากส่วนท้ายของบ้าน ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นส่วนที่เป็นห้องครัว หลังจากลำบากตรากตรำ มาทั้งวัน เพื่อได้มาซึ่งแหล่งอาหาร แต่ก็สุขกาย สบายใจเมื่อได้เห็นผลของน้ำพักน้ำแรงที่กองอยู่ตรงหน้า ก็พลายให้หายเหนื่อยลงได้บ้าง หลังจากเอาแหแขวนผึ่งไว้ที่ใต้ถุนกระท่อม ชายหนุ่มก็เอาปลาไปขอดเกล็ดที่ริมห้วย โดยนึกเมนูอยู่ในใจ ตัวโตหน่อยก็แยกไว้ทาเกลือให้แม่ย่าง ตัวเล็กหน่อย พวกลูกกุ้งลูกปลา ก็รวบรวมเอาไว้ทำแกงส้มใส่ผักหนามผักกูด

          ข้าวไร้ซ้อมมือในหม้อใบเก่า ที่หุงแบบเช็ดน้ำ สุกทันพอดี ที่ชายหนุ่มกำลังเดินถือกระชุใส่ปลา ที่ทำแล้วขึ้นมาบนกระท่อม หญิงชราผู้เป็นแม่รีบยกปลาเล็กปลาน้อย ที่ลูกชายของแกแยกไว้ ใส่ลงไปในหม้ออีกใบที่กำลังมีน้ำแกงเดือดพล่านอยู่บนเตาฟืน หลังจากนั้นก็เติมเกลือเม็ด และมะขามเปียกลงไปสามสี่ฝัก เพื่อเพิ่มรสเค็มและเปรี้ยวตามต้องการ พอตาปลาเริ่มขาวจวนสุก ก็เทยอดผักกูดผักหนามและยอดพริก ที่หลานสาวเด็ดรอไว้ในชาม ทิ้งระยะไม่นานพอเนื้อมะขามเปียกเริ่มยุ่ย ก็ยกลงจากเตาเพราะแกงส้มหม้อนี้สุกดีแล้ว เมื่อเตาว่าง แต่ยังมีถ่านแดงๆคุกรุ่นอยู่ ก็เอาตะแกรงเหล็กผุๆขึ้นมาวางพาด ก่อนจะเอาปลาเวียนและปลากั้งที่แยกไว้ ทาเกลือขึ้นย่างไฟอย่างง่ายๆ

“แม่ตำน้ำพริกอีกสักถ้วยนะ”

“ตำเผื่อฉันเอาไปกินบนไร่ด้วยสักกระปุก”ชายหนุ่มร้องบอก ขณะนั่งสูบยาเส้นอยู่ตรงระเบียนข้างหัวบันได

“หญ้าขึ้นรกเหลือเกิน”

“พรุ่งนี้เช้า ข้าว่าจะขึ้นไปช่วยอีกแรง”หญิงชราตอบ พลางยกครกออกมาเตรียมตำน้ำพริก

“ไม่ต้องไปหรอกแม่ แม่แก่แล้ว พักผ่อนอยู่บ้านนั่นแหละ”

“หูตาก็ไม่ค่อยดี ช่วงนี้ก็ป่วยบ่อย ฉันไปทำคนเดียวไหว”ชายหนุ่มพูดจบก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น

“แปะเอ๋ย”

“ข้าแก่ ก็แก่แต่ตัว อะไรพอหยิบจับทำได้ ข้าก็ทำ”

“มานั่งๆนอนๆ อยู่กับบ้าน ข้าเบื่อ”หญิงชราผู้เป็นแม่ร้องตอบ ก่อนจะหยิบพริกนกในกระชุ ลงครกกำใหญ่

“เอาเถอะแม่ แม่เชื่อฉันสักครั้งเถอะ”

“เจ็บป่วยขึ้นมาจะลำบาก เงินทองเราก็ไม่ค่อยมี”ชายหนุ่มกล่าว พลางเดินไปบิดกระเทียม ที่ห้อยแขวนไว้บริเวณข้างฝา ส่งใหญ่ผู้เป็นแม่สองหัว

“เอ็งก็รู้ ว่าข้าไม่ชอบอยู่เฉยๆ”

“อย่างน้อยๆก็ช่วยแบ่งเบาภาระสักหน่อยก็ยังดี”ผู้เป็นแม่ตอบหลังจากรับหัวกระเทียมจากชายหนุ่ม จากนั้นก็แกะกระเทียมออกเป็นกลีบๆหย่อนลงครก

“ข้าอยู่มาถึงขนาดนี้แล้ว”

“ถ้ามันจะเจ็บป่วยตาย ก็ไม่เสียใจหรอก”กล่าวจบ หญิงชราก็ตำพริกกับกระเทียมจนครัวสะเทือน

“อย่าพูดอย่างนั้นให้ฉันใจเสียสิแม่”

“แม่ยังต้องอยู่ไปกับฉันอีกนาน หลานแม่อีกคนกำลังจะเกินนะอย่าลืมสิ อาทิตย์หน้าฉันว่าจะไปรับเมียฉันมานี้แล้ว”ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่วเบา ก่อนจะจุดไม้ขีดจอไปที่ไส้ตะเกียงน้ำมันก๊าด

“ลูกเอ๋ย..”

“เกิน แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นของธรรมดา เอ็งก็โตจนมีครอบครัวแล้ว อย่าคิดมากเลยลูก”หญิงชราพูดจบก็ใช้ช้อนตักกะปิและเกลือเม็ดลงไปในครก จากนั้นก็ตำผสมลงไปต่อ

“แม่คือร่มโพธิ์ ร่มไทร ของฉัน”

“ถ้าแม่เป็นอะไรไป ฉันจะอยู่อย่างไร”ผู้เป็นลูกตอบ ในขณะแอบซ่อนแววตาเศร้าสลดไว้ในเงามืด โดยไม่ให้ผู้เป็นแม่สังเกตเห็น

“ช่างมันเถอะลูก อย่าไปคิดอะไรมาก”

“น้ำพริกเสร็จแล้ว เตรียมกินข้าวกินปลากันดีกว่า เติ้งเอ๊ย ขึ้นมากินข้าวได้แล้ว มืดค่ำป่านนี้จะไปไหนอีก”หญิงชราร้องเรียกหลานสาว

“เสียดาย ช่วงนี้ไม่มีแตงเปรี้ยว”

“ไม่งั้นน้ำพริกของแม่จะอร่อยขนาดไหน”ชายหนุ่มยิ้มหวาน ก่อนจะส่งถ้วยน้ำพริกให้ผู้เป็นแม่

“มะนาวมีนะจ๊ะยาย อยู่ในตะกร้า ที่แขวนไว้นั่น”

“หนูเก็บไว้เมื่อสองวันก่อน ลมมันพัดตกจากต้นตั้งหลายลูก”กะเหรี่ยงน้อยบอกเสียงใส

          ภายใต้แสงตะเกียงที่ส่องแสงสว่างวอมแวม ทั้งสามคนต่างล้อมวงกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งแกงส้มชามโต น้ำพริก ผักแนม และปลาย่าง ก็ล้วนเป็นฝีเมื่อครัวของหญิงชราทั้งนั้น กับข้าวดี อาหารอร่อย ถึงแม้จะเรียบง่ายธรรมดาไม่เลิศหรู  แต่เมื่อคนกิน กินอย่างมีความสุข ก็ทำให้สุขใจทุกครั้งที่ได้ร่วมวง  แกงส้มรสชาติเปรี้ยวเค็มไม่เผ็ดมากกำลังดี เมื่อซดน้ำร้อนๆก็ทำให้โล่งคอทุกครั้งที่ได้กิน น้ำพริกสูตรของหญิงแก่ที่ดูๆไป ก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมาก แต่ใส่ใจทุกครั้งเมื่อได้ลงมือทำ รสน้ำพริกฝีมือของหญิงแก่ผู้เป็นแม่ ที่ได้ลิ้มชิมรสมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงยังติดตราตรึงใจผู้เป็นลูกอย่างไม่รู้ลืม...

จบเรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง ผิดพลาดหรือตกหล่นประการใด ผม หนุ่ม ธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ



เสียงหัวเราะ    เสนาะป่า  ที่นาสวน   
ยังคงหวน  คิดคำนึง  รำพึงหา
มาวันนี้  เสียงแผ่วเพรียก  เรียกน้ำตา
ยายกาลา    สิ้นแล้วเสียง    สำเนียงไพร

  บทความนี้ขออุทิศ และ เป็น อนุสรณ์ แด่ คุณยายกาลา หญิงชราแห่งป่าบ้านปลายนาสวน
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 2
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 3
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 4
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 5
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 6
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 7
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน น้ำพริกกะเหรี่ยง
ภาพที่ 8
แก้ไข 28 ส.ค. 60, 09:40
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024