สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 8 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 1 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 27 - [21 ต.ค. 62, 16:01] ดู: 10,206 - [6 ธ.ค. 67, 08:45] ติดตาม: 4 โหวต: 12
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
9 เม.ย. 54, 13:18
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 1
ภาพที่ 1
***ถึงน้าเวป และผู้ดูแลนะครับ ถ้าเนื้อหาที่ผมลงนี้ไม่เกี่ยวกับเวป สามารถลบได้เลยนะครับ เพราะผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถลงเนื้อเรื่องแบบนี้ได้หรือเปล่า ถ้าผมทำผิดพลาดยังไงผมต้องขอ อภัย มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ไม่แน่ใจว่าผิด คำแนะนำ ข้อที่ 1 หรือเปล่าครับ

***************************************************************************************************************
บทที่ 1.

ตอนที่ 1
                    ปลายเดือน ตุลาคม ลมหนาวพัดผ่านมาวูบแรก หลังจากพื้นดินและผืนป่าชุ่มฝนมานานหลายเดือน ป่าเวลานี้ดูเขียวครึ้มไปทั้งผืนป่า และภูเขาที่สูงทะมึนดูน่ากลัว ลึกลับ สลับกันไปมาสูงๆต่ำๆ ตามแบบภูมิประเทศของป่าตะวันตก ไม้ใหญ่หลายต้นยืนเบียดเสียด ยื้อแย่งเพื่อชูช่อยอดใบรับแสงอาทิตย์ ส่วนเบื้องล่างไม้เล็กไม้น้อยต่างก็พยายามแทรกใบยอดหาช่องที่แสงอาทิตย์ ลอดผ่านจากยอดไม้สูงอันน้อยนิด เพื่อการเจริญเติบโตเป็นไม้ใหญ่ต่อไป  พืชที่ได้เปรียบที่สุดคงจะเป็นพืชจำพวกเถาวัลย์ ที่มันสามารถพันตัวเองให้ไปตามลำต้นของไม้ใหญ่ได้

    ริมลำห้วยสายหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างหุบเขาสองลูก มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี สองริมห้วยนั้นเต็มไปด้วยไม้ล้มลุก ไม่ว่าจะเป็น กล้วยป่า กูด ชะพลู และบอนป่าซึ่งขึ้นอยู่เป็นดง บางต้นสูงแค่เอว และบางต้นก็ใหญ่โตขนาดคนเข้าไปยืนหลบแดดหลบฝนได้อย่างสบาย ถัดออกไปก็มีต้นยางนาที่ลำต้นสูงตรง ซึ่งลำต้นของมันดูขาวนวลสวยงามกว่าไม้อื่นๆ เสียงน้ำไหลกระทบแก่งหินดังจุ๋งจิ๋ง สลับกับเสียงปลาขึ้นฮุบบนผิวน้ำที่อุดมไปด้วยฝูงปลานานาชนิดทั้งปลาเวียน ปลากั้ง ปลาสร้อย นอกจากปลาก็ยังมีสัตว์น้ำอื่นๆ  พวก ปูหิน หรือปูห้วย กุ้งนาง และหอยขม

    สิงห์ ชายหนุ่มผมยาวร่างเล็ก สูงประมาณ 170 เซนติเมตร เดินลุยลำห้วยมาตามลำพัง บนหลังของเขามีเป้ใบใหญ่สีเขียวขี้ม้าใบเก่าคร่ำคร่า  ที่ไหล่ข้างซ้ายสะพายปืนยาวขนาด .22 ยี่ห้อ ซีแซด ที่เอวมีมีดเหน็บยาวประมาณ 1 ฟุต เขาเดินลัดเลาะ ไปตามลำห้วยสายนั้นมากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว จนมาถึงด่านทางเกวียนเก่าๆ ที่สองข้างทางมีต้นสาบเสือขึ้นอยู่เป็นดง เขายังคงเดินเรื่อยไปจนมาถึงเนินช่วงหนึ่ง ซึ่งทางสายนี้ตัดผ่านเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่มีบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน หลังจากเดินอีกกว่าชั่วโมง ก็มาถึงกระท่อมหลังแรกที่สร้างอยู่ริมลำห้วย ซึ่งมันก็เป็นสายเดียวกันกับที่เขาเพิ่งจะเดินผ่านมา
   
    กระท่อมยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร ตัวบ้านทำจากไม้ไผ่สับแผ่ ที่เรียกว่า ฟาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นและฝาบ้าน ก็ทำมาจากฟากไม้ไผ่ คงมีแต่เสาบ้านที่ทำมาจากไม้แดงอย่างดี ส่วนหลังคาทำจากใบพลวง และกระท่อมหลังอื่นๆที่ปลูกเรียงรายห่างๆกันออกไป อีกไม่กี่หลังก็คงจะเป็นแบบเดียวกันหมด

“สวัสดีครับลุงโส่ย” สิงห์ยกมือไหว้พร้อมกล่าวคำทักทายกะเหรี่ยงโพวัยหกสิบกว่าๆยื่นหน้าโผล่มาจากหน้าต่าง

“นั่นไอ้สิงห์หรอกเหรอะ มาๆ เป็นยังไงมายังไง คิดว่าปีนี้จะไม่มาหาเสียแล้ว” พูดจบแกก็ลงมาไล่เตะหมาผอมๆสองสามตัวที่พากันเห่าสิงห์จนซี่โครงบาน

“ไม่มาได้ยังไงลุง แหม...ช่วงนี้ผมงานเยอะไปหน่อย เวลาเลยไม่ลงตัว แล้วลุงสบายดีหรือเปล่าครับ” เขาพูดจบก็ยกน้ำจากขันมาดื่มอย่างกระหาย

“เออๆ ก็สบายดีตามประสาชาวป่าชาวดง แล้วเอ็งมายังไงล่ะ มาคนเดียวรึ?” ลุงโส่ย ถามด้วยความสงสัย

“ผมเอารถมาครับลุง แต่ผมจอดไว้ที่ปากทางเข้าโน่น บ้านแม่ไอ้เหน๋อนั้นแหละ เดี๋ยวไอ้เหน๋อมันก็ตามมาพรุ่งนี้เช้า ที่แรกผมก็จะออกมาพร้อมมัน แต่ผมใจร้อนกลัวพวกลุงจะไม่อยู่บ้านกัน เลยรีบเดินมาก่อน คืนนี้กะว่าจะเข้าไปนอนบ้านน้าเบ พรุ่งนี้เช้าไอ้เหน๋อมันจะตามพี่พรมาอีกคน ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า พูดถึงน้าเบ หวังว่าคงจะไม่ได้ไปไหนนะลุง” สิงห์บอกด้วยความกังวล เพราะกลัวจะพลาดกับพรานที่เขาไม่ได้นัดหมาย ไว้ก่อน

“ไอ้เบมันก็อยู่บ้านนั่นล่ะ เมื่อวานมันก็มาหาข้า ยังนั่งคุยถึงเอ็งอยู่เลยไอ้สิงห์ ดีเหมือนกันโว้ย พูดถึงเอ็งก็มา ตายอยากจริงๆ” พูดจบแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น ดังปรี๊ด

“เยี่ยมเลยลุง คิดว่าจะพลาดกันเสียแล้ว งั้นถ้าลุงไม่ได้ไปไหนเดี๋ยวเย็นนี้เราไปนอน ที่บ้านน้าเบกันดีกว่า ผมมีเรื่องคุยกับพวกเราเยอะเลยลุง พอดีผมพกยาแก้เหงามาด้วย 3 กลม” พูดจบสิงห์ก็งัดเหล้าแดงออกมาโชว์ ลุงโส่ยเห็นเข้าถึงกับเปรี้ยวปากขึ้นมาทันที

“บ๊ะ! ดีจริงโว้ย อยู่แต่ในดงไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ไม่ได้กินเหล้าแดงแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว ข้าล่อแต่เหล้าป่า เอ็งนี่มันรู้ใจข้าจริงๆวะ  ไอ้สิงห์” เหล้าแดงที่แกว่าคือแสงโสมที่สิงห์พกมาอวด ไม่พูดเปล่าแกก็เอื้อมมือจะมาหยิบเหล้าในเป้ไปกินเสียให้ได้ จนสิงห์ต้องบอกใจเย็นๆ

“แหม...ใจเย็นๆลุง เอาไว้ให้พร้อมหน้าพร้อมตา เราค่อยมาฉลองกันดีหรือเปล่า แต่เห็นแก่ลุงนะ เอาแบนนี้ไปล้างคอก่อนก็แล้วกัน เสียดายไม่มีกับแกล้มดีๆ” พูดจบเขาก็ควักเหล้าในเป้ที่มีเหลืออยู่เกือบครึ่งแบน ที่สิงห์เองก็เดินจิบมาเรื่อย ในตอนที่เขาเดินทางมา ส่งให้แกเป็นกำลังใจ

“ปุดโถ...แล้วไม่บอกว่ามี 3 กลมกะอีกครึ่งแบน เดี๋ยวข้าไปหาอะไรมาแกล้มเหล้าก่อน” แกลุกขึ้นเดินไปในครัว สักพักก็ได้ยินเสียงกลุกๆกลักๆ แว่วมา อึดใจลุงโส่ยก็ถือจานสังกะสีมาสองใบ ในจานมี เขียดทอด กับแกงอีเห็น ซึ่งมีอยู่เกือบครึ่งจาน โดยเฉพาะเขียดทอดมีเกือบเต็มจาน

“ไอ้พุ่มมันไปได้อีเห็นมาจากท้ายไร่ตรงตีนเขาโน่น ส่วนเขียดไอ้เคิ้งมันไปส่องมาเมื่อคืนก่อนตรงทุ่งนาติดๆกับห้วยนั้น” ลุงโส่ย ชี้มือบอก ที่มาของอาหารจานเด็ด ทั้งสองจาน

“เออ...ลุงแล้วไอ้เคิ้ง กับไอ้พุ่ม มันไปไหนเสียหล่ะ ตั้งแต่มายังไม่เห็นมันสองคนเลย” สิงห์ถามถึง เคิ้ง ลูกชายลุงโส่ย ส่วนพุ่มเป็นเพื่อนของเจ้าเคิ้งอีกคน

“ไอ้เคิ้งมันเอาควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ฝั่งที่มีต้นยางเด่นๆอยู่โน่น ส่วนไอ้พุ่มข้าเห็นสะพายปืนแก๊ปไปตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นมันห่อข้าวไปด้วยสงสัยจะกลับมาเย็นๆ ไอ้นี่มันว่างเป็นไม่ได้ ชอบไปหายิงอะไรมาอยู่เรื่อย กับข้าวกับปลาไม่มีขาด” พูดจบแกก็บรรจงยกจอกเหล้าที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ อย่างถนอมเหมือนกลัวว่ามันจะหก พอจ่อปากได้ก็ยกลงคออึกเดียวหมด

“เบาๆลุง เดี๋ยวก็ได้เมาตกบ้าน ไม่ได้ไปเที่ยวป่าหล่ะยุ่งเลย” สิงห์พูดหยอกชายชราอย่างขำๆ เพราะรู้ดีว่าต่อให้หมดเป็นขวดแกก็คงยังเฉย หรือไม่ก็เมาพับอยู่ตรงนี้
ชายหนุ่มกับกะเหรี่ยงดงเพื่อนแท้ต่างวัย นั่งพูดคุยเรื่องราวต่างๆมากมายด้วยความคิดถึง ที่มีให้กันมานาน ลุงโส่ยเองก็รู้ดีว่าสิงห์มาหาเพราะเรื่องอะไร มีอยู่เรื่องเดียวถ้าสิงห์มาก็หนีไม่พ้นเข้าป่า สิงห์ได้รู้จักกับลุงโส่ย โดยการแนะนำจาก เหน๋อ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก เหน๋อเองก็เป็นคนบ้านป่าบ้านดงมาตั้งแต่เด็กๆแถมยังพูดภาษากะเหรี่ยงได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวป่าแถบนี้ก็ช่วงสมัยที่สิงห์และเหน๋อยังเรียนอยู่ เหน๋อน่าจะเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสออกไปเรียนในตัวเมือง คงเป็นเพราะทางบ้านพอจะมีเงินส่งให้เรียน เพราะทำร้านขายของเล็กๆในหมู่บ้าน พูดง่ายๆว่าเหน๋อเกิดมาก็อยู่ใกล้ป่า โตมากับป่า ส่วนสิงห์ชอบการผจญภัยมาเป็นทุนอยู่แล้ว ตอนสิงห์ยังเด็กๆก็ชอบหายิงนกตกปลา ไปตามเรื่อง สองคนนี้เลยเป็นเพื่อนรักกันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะชอบอะไรที่คล้ายๆกัน ถึงแม้จะห่างๆกันมาพอสมควรในระยะหลังๆเมื่อต่างคนต่างเรียนจบหางานหาการทำ และจากการงานของแต่ละคน ที่แตกต่างกันออกไป แต่ครั้งเมื่อมีโอกาส และเวลา สิงห์ก็ไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่มีความหมาย ถ้าว่างเป็นต้องนัดกันเที่ยวป่าเข้าดงทุกที จะนอนกลางดินกินกลางป่า บางครั้งน้ำท่าไม่ได้อาบสามวันก็มี ลำบากลำบนแค่ไหน  ไม่ได้ทำให้สิงห์เบื่อเรื่องการเที่ยวป่าผืนนี้ไปได้เลย  ไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วง ฝน ร้อน หนาว ป่าในแต่ละฤดูกาล จะแตกต่างกันออกไป มาเที่ยวครั้งใด ต้องมีอะไรให้สิงห์ต้องตื่นเต้นทุกครั้ง

    สำหรับพรานเบ เป็นอีกคนหนึ่งที่สิงห์นับถือพรานคนนี้มาก คงเป็นเพราะมีความจริงใจต่อกัน ไม่เคยหลอกลวง หรือทำให้ผิดหวังเลย สิงห์เองก็นับถือเป็นญาติผู้ใหญ่อีกคนอย่างจริงใจ พรานเบเป็นคนชอบความอิสรเสรี เป็นคนไม่ดิ้นรน แกทำไร่ทำนาไปตามเรื่อง หมดจากฤดูทำไร่ทำนา ก็เข้าป่าหาของป่ามาขายบ้าง ลูกเมียก็ไม่มี จนแกอายุปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว อาจจะเป็นเพราะแกชอบความอิสระ  และความสันโดษ  ขนาดกระท่อมของแกยังทำเสียลึก เข้าไปในดง มีธุระอะไรกับแกก็ต้องเดินไปหาจนหน้ามืด ดีไม่ดีเข้าป่าเข้าดงไม่เจอแกอีกก็เสียเที่ยว เดินเหนื่อยฟรี ส่วนเรื่องการเป็นพรานหมดปัญหาไปเลยเรื่องฝีมือ เพราะขึ้นชื่อว่า พรานป่า ไม่ว่าจะการดำรงชีวิตในป่า การหุงหาอาหาร และที่สำคัญแกยิงปืนแม่นมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สิงห์ได้มีโอกาส ไปเที่ยวป่ากับพรานเบ ปืนสักนัดแกก็ไม่ได้ยิง แต่แกเดินกลับมาพร้อมอ้นตัวอ้วน หรือแม้แต่นกกระทาดงเป็นพวง

    ส่วนพรานพร เป็นอีกคนหนึ่งที่สิงห์นับถือ และเป็นอีกคนหนึ่งที่สำคัญ เพราะพรานพรเป็นคนพูดเก่งไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย และภาษากะเหรี่ยง บางครั้งสิงห์เองก็ต้องพึ่งพาอาศัยพรานพร ช่วยแปลความหมายต่างๆเวลาจะสื่อสารกับกะเหรี่ยงคนอื่น พูดง่ายๆแกพูดภาษาไทยได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลุงโส่ย พรานเบ ก็พอพูดภาษาไทยได้บ้างถึงจะไม่ชัดต้องถามตอบกันหลายครั้ง แต่ก็ส่งภาษากันรู้เรื่อง พรานพรอายุก็น่าจะรุ่นน้องพรานเบไม่มาก

    เคิ้งและพุ่ม เด็กกะเหรี่ยงขนานแท้ แต่พอจะพูดภาษาไทยได้บ้าง เคิ้งเป็นเด็กขยัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือมากนักแต่ก็เป็นเด็กดี เด็กอายุเพิ่งจะสิบสี่ แต่เรื่องการงาน ถึงจะหนักหนาขนาดไหนไม่เคยท้อ ส่วนพุ่มโตขึ้นมาหน่อยน่าจะประมาณสิบห้าถึงสิบหก เป็นกะเหรี่ยงโพ เดินทางข้ามป่าข้ามเขามาจากพม่า เพราะทนอยู่ทางโน้นไม่ได้ อยู่ไปคงได้เกณฑ์เป็นทหารกะเหรี่ยงกู้ชาติ เลยติดสอยห้อยตามพ่อแม่มาอยู่ป่าตะวันตกแถบนี้ เด็กทั้งสองคนนี้ สิงห์ก็รักเหมือนเป็นน้องแท้ๆ ครั้งแรกที่รู้จัก ตอนไปเที่ยวป่าเมื่อหลายปีก่อน โดยเหน๋อให้มาเป็นลูกหาบแบกของให้กับพวกของสิงห์ ซึ่งครั้งแรก สิงห์ก็ไม่นึกจะไว้ใจนัก ยังคิดว่าจะแบกกันไหวหรือ แต่ที่ไหนได้ เด็กสองคนแบกของกันเดินตัวปลิว ขนาดสิงห์มีแค่เป้บนหลังหนึ่งใบยังเดินไม่ทัน แถมรองเท้าดีๆก็ยังสู้เท้าเปล่าของเด็กกะเหรี่ยงไม่ได้เลย
แสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปแล้ว ท้องฟ้าที่เคยสว่างมองเห็นต้นไม้ใหญ่ต่างๆ นานาพันธุ์ กลับขมุกขมัว ดูมืดมิดน่ากลัวเข้าไปอีก หมู่นกกาพากันบินกลับรัง ส่งเสียงเซ็งแซ่ บ่นยอดไม้ใหญ่ ห่างออกไป เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ว  อยู่ที่ใดสักแห่งในหุบเขา ขับขันกันสลับไปมาอยู่หลายฝูง คงจะเตรียมขึ้นขอนนอนประจำของมัน  อากาศตอนนี้เริ่มเย็นยะเยือกมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่มืดเลย สิงห์ดูนาฬิกาเวลาตอนนี้แค่ห้าโมงยี่สิบห้านาที หลังจากพูดคุยและกินข้าวกินปลาเมื่อตอนที่มาถึง

“แกงอีเห็น ของลุงนี่ยังเด็ดเหมือนเดิมนะ” สิงห์เอ่ยปากชมแกงอีเห็นที่กินไปเมื่อตอนบายสี่โมงเย็น

“เออ...เหล้าแดงของเอ็งก็รสดีไม่น้อย” แกพูดจบก็หยิบผ้าข้าวม้าที่สะพายไหล่มาเช็ดปาก เหมือนแกยังเปรี้ยวปากอยู่

“โน่นไง ไอ้เคิ้งเดินจูงควายกลับมาแล้ว ถ้ามันเห็นเอ็งมาคงจะดีใจ” พรานเฒ่ารู้ดีว่าถ้าสิงห์มาก็ไม่พลาดที่จะต้องเข้าป่า และรู้ว่าไอ้เคิ้งมันคงชอบเข้าป่า มากกว่าจูงควายไปเลี้ยงเป็นไหนๆ

“อ้าว...พี่สิงห์ มาตอนไหนนี่ มาถึงนานหรือยัง” เคิ้งออกอาการดีใจเมื่อได้เห็นสิงห์ หลังจากจูงควายไปไว้ในคอก ก็รีบขึ้นไปหาสิงห์บนกระท่อมทันที

“พี่มาถึงตั้งแต่บ่ายๆแล้ว นั่งล่อเหล้ากับเขียดทอดของเอ็งจนจะหมดจานแล้ว” สิงห์พูดทักทายเคิ้ง อย่างสนิทสนม

“มีอีกเยอะพี่สิงห์ เมื่อวันก่อนผมไปส่องมาได้เป็นถังเลย เขียดเยอะจัดปีนี้ จับกันเพลินเลยพี่ เดี๋ยวผมทอดให้กินอีกจาน” พูดจบ เคิ้งรีบรับอาสาทอดเขียดให้สิงห์อย่างเต็มใจ สักพักกลิ่นควันไฟก็ลอยมาจากในครัว

“ทอดแล้วใส่กระเทียมด้วยนะเคิ้ง รับรองเอร็ดกว่าเดิมอีก” สิงห์แนะนำให้ใส่กระเทียมลงไปด้วยขณะที่เคิ้งกำลังทอดเพื่อดับกลิ่นคาวของเขียด ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขียดทอดจานใหญ่ก็พร้อมเสริฟ

“แหม...ถ้าได้พริกไทยป่นล่ะเรี่ยม” ลุงโส่ยเสริมมาอีกหน่อย

“โถ...พ่อจะไปเอาจากไหนพริกไทยป่น แค่มีน้ำปลาก็ดีนักหนาแล้ว หรือจะลองพริกป่นดี” เคิ้งหมายถึงพริกกะเหรี่ยง เอาไปคั่ว แล้วก็ตำให้ป่น เอามาโรยแทนพริกไทยป่น สิงห์ได้ยินแบบนั้นเข้าก็ร้องลั่น

“พอเลยๆ เดี๋ยวได้น้ำหูน้ำตาไหล ไปไอ้เคิ้งไปหาถุงมาใส่เขียดทอด เดี๋ยวไปกินต่อที่บ้านน้าเบ เออเตรียมเสื้อผ้ากับของใช้ของเอ็งไปด้วย พรุ่งนี้ไปเที่ยวป่ากันโว้ย เดี๋ยวมืดค่ำแล้วจะลำบาก”

    ลุงโส่ยและลูกชายของแกคือเคิ้งจัดเตรียมของใช้จำเป็นต่างๆจนเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นปืนแก๊ปกระบอกเก่าคนละกระบอก กระเป๋าใส่เสื้อผ้าที่ดูไม่เหมือนกระเป๋าเท่าไหร่นัก เพราะเอาถุงปุ๋ยมาเย็บทำกันเอง ข้างในก็มีเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ไฟฉาย กับถุงข้าวสารอีกเกือบห้ากิโล แถมแกยังหิ้ว เหล้าป่ามาอีกสองแกลลอน ทั้งสามคนกำลังจะลงจากกระท่อม เคิ้งก็ร้องทักมา

“ไอ้พุ่มกลับมาพอดี นั่นได้ไก่ป่ามาด้วย” เคิ้งชี้ให้สิงห์ดู พุ่มที่เดินมุดลอดออกมาจากซุ้มกอไผ่หลังบ้าน

“ดีเลย มาถึงก็ดีแล้วไอ้พุ่ม ไปเตรียมของพรุ่งนี้ไปเข้าป่ากันดีกว่าได้มาหลายตัวด้วยเก่งนี่เรา” สิงห์ตะโกนบอกพุ่ม ที่กำลังเดินเข้ามาหา

“มันเปรียวครับเลยได้มาแค่สามตัว ไปได้มาแถวๆหุบตาสานโน่น มีอยู่หลายฝูง ถ้ามีลูกซองคงได้เยอะกว่านี้ แล้วพี่มาถึงนานยัง” พุ่มเล่าที่มาของไก่ป่าสามตัว กับคำถามแบบเดียวกับ เคิ้ง

“เออๆอย่ามัวถามเลยวะ ไอ้พุ่มเอ็งเอาไก่ไปให้พ่อกับแม่เอ็งเถอะ แล้วก็บอกเขาด้วยว่าไปเที่ยวป่ากับพี่ ถ้าว่างเอ็งก็ไป แต่ถ้าติดงานที่ไหนก็ไม่เป็นไรนะ พี่กำลังจะไปบ้านน้าเบ “สิงห์พูดพร้อมส่งไก่ป่าคืนกลับไปให้พุ่ม

“ว่างสิครับ วันๆผมก็ไม่ได้ทำอะไร ข้าวโพดก็ปลูกไปตั้งแต่ฝนลงหลายเดือนแล้ว นี่ผมก็หายิงนกยิงหนูไปวันๆ งั้นพี่รอผมก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบเตรียมของก่อน” พูดจบพุ่มก็วิ่งกลับบ้านทันที แต่โยนไก่ป่าที่ยิงได้ให้เคิ้งรับไว้อีกหนึ่งตัว

    ดวงอาทิตย์ลับยอดเขาไปแล้ว เหลือเพียงแต่แสงสีส้มจับอยู่บนก้อนเมฆจางๆ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ผีตากผ้าอ้อม  ควันไฟโพยพุ่งจากกระท่อมสามสี่หลัง  คงเป็นเวลาหุงหาอาหารตามประสาชาวป่า ที่ใต้ถุนกระท่อมหลังหนึ่งไก่บ้านสามตัวพากันบินขึ้นเกาะราวนอน คงมีแต่ไอ้โต้งจ่าฝูงยังคงโกงคอขันอยู่บนเสาคอกควาย ที่มีเจ้าของบ้านนอนเคี้ยวเอื้องอยู่ ถัดออกไปจากคอกควายก็จะเป็นลำห้วยซึ่งมีน้ำใสไหลเย็น บนผิวน้ำนั้นเริ่มมีละอองหมอกขึ้นจับอยู่จางๆ สิงห์ ชายหนุ่มจากในเมืองยังคงยืนทอดอารมณ์อยู่กับธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวเขา บางครั้งก็สูดเอาอากาศเย็นสดชื่นเขาปอดลึกๆ เวลานี้สิงห์คิดว่าไม่เสียเที่ยวและโอกาสที่ได้มาผจญภัยอีกครั้ง ถึงตัวเขาเองก็ไม่มีทางรู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกสักกี่ครั้งในชีวิต หรือจะมีป่าให้เขาได้เที่ยวอีกหรือเปล่า

“วู้...พี่สิงห์ ไปกันได้แล้ว ไอ้พุ่มมันพร้อมแล้ว” เสียงเคิ้งป้องปากตะโกนเรียกสิงห์ที่มายืนอยู่ที่ปลายคันนาริมห้วย

“เอาๆ...ไม่ต้องรีบไอ้สิงห์ เดี๋ยวก็ได้ตกคันนา นั่นไงกูว่าแล้ว ฮาๆ” ลุงโส่ย ร้องบอกสิงห์ ที่เห็นสิงห์วิ่งมา แต่ก็ไม่ทันขาดคำของแก สิงห์ก็วิ่งเหยียบพลาดเอาขอบคันนาจนขาตกลงไปแช่โคลนอยู่ข้างหนึ่ง เล่นเอาพวกกะเหรี่ยงดงหัวเราะงอหายไปตามๆกัน


เนื้อเรื่องจะเป็นยังไร โปรดติดตามบทความต่อไป (ถ้าไม่ผิดกติกาของเวปนะครับ)
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
www.siamfishing.com/content/view.php?nid=42162&cat=article