สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 29 เม.ย. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 16 - [9 ม.ค. 56, 01:17] ดู: 4,604 - [29 เม.ย. 67, 15:19] โหวต: 10
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
3 ต.ค. 54, 09:43
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5
ภาพที่ 1
บทที่ 7

ตอนที่ 5 (จบบท)

          การเดินทางของคณะ เชื่องช้าลงไปมาก เพราะเส้นทางเริ่มมีอุปสรรคมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเส้นทางที่ลาดชัน และป่าไม้ที่รกเครือ ของภูเขาสูงทะมึนแห่งนี้ รวมถึงสิ่งของต่างๆที่นำติดตัวมาด้วยก็ดูว่าจะเพิ่มภาระมากขึ้น ปืนผาหน้าไม้ที่สะพายไหล่กันมาครั้งแรก พอต้องมุดลอดซุ้มไม้รกบ่อยครั้งเข้า ก็ต้องปลดมาถือ เพราะเถาวัลย์และกิ่งไม้คอยเกี่ยวรั้งลำกล้องปืนของแต่ละคน โดยเฉพาะปืนแก๊ปทั้งสามกระบอก ของพรานโส่ย เจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะนกตีดินขับ ไม่ได้ทำแบบตีข้าง ตรงกันข้ามปืนแก๊ปทั้งสามกระบอกมีนกตีดินขับอยู่ด้านบน ถ้ามีอะไรทำให้นกสับนั้นง้างแล้วตีกลับ โอกาสที่ปืนจะลั่นจึงมีสูง โดยเฉพาะตอนที่ต้องมุดลอดซุ้มไม้ต่างๆ โอกาสที่นกสับดินขับ จะไปเกี่ยวกับกิ่งไม้หรือเถาวัลย์แล้วตีกลับ จึงเกิดขึ้นได้ ถึงจะถอดแก๊ปปะทุออกแล้วก็ตาม โอกาสลั่นก็ยังมี วิธีที่ดีที่สุดคือ ปลดปืนมาถือถึงจะปลอดภัย จนในที่สุดพรานเบก็พาคณะทั้งหมดมาหยุดบริเวณที่โล่งตอนหนึ่ง

“ท่าจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว”พรานเบทำหน้าเครียดหันมาบอกกับคณะ

“เกิดอะไรขึ้นหรือน้าเบ”สิงห์ร้องถาม

“เอ็งไม่เห็นรึ ว่าดงกล้วยข้างหน้าราบเป็นหน้ากลอง”

“รอยมันใหม่เหลือเกิน”พรานเบพูดพลางชี้บอก

“สงสัยจะช้างป่า”

“ป่าราบขนาดนี้ คงยกโขลงกันมาหลายตัว”เหน๋อร้องตอบ

“รอยมันบ่ายหน้าไปทางเดียวกับเราด้วยสิ”

“น้าเบว่ารอยพวกนี้กี่วัน?”สิงห์ถาม พรานนำทางใช้ความคิดหลังจากพิจารณา ร่องรอยของช้างโขลงได้อึดใจก็บอกตอบไปว่า

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด รอยใหม่แบบนี้น่าจะไม่เกิน 3 วัน”

“นี่ก็แสดงว่า พวกเรากำลังเดินตามหลังพว กมันอยู่”สิงห์ถาม

“ใช่”

“แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ ว่าพว กมันจะขึ้นไปหากินบนเขาสกหรือเปล่า”พรานเบตอบอย่างใช้ความคิด

“ข้าว่าคงไม่หรอก เพราะบนเขาสกหาน้ำกินยาก กล้วยป่าแถวโน่นก็มีน้อย”พรานพรตอบอย่างคนมองโลกในแง่ดี

“เอ็งก็ว่าไป ช้างมันกินแต่กล้วยป่าเสียที่ไหน”

“ยอดไม้ ยอดไผ่ บนนั้นก็เยอะอยู่”พรานเบร้องขัด

“พวกเอ็งจะมาเดากันอยู่ทำไมล่ะ”

“ไหนๆก็มาทางเดียวกันแล้ว ดีเสียอีกที่มันเปิดทางให้เราเดินสบายๆ”พรานชราร้องบอก

“ฉันก็เห็นอย่างตาโส่ยแกว่านะ ถ้ามันไปทางเดียวกับเรา ก็เดินตามมันไปเลย”

“บางที่มันอาจจะแยกไปทางอื่นก็ได้”พรานแปะร้องเสริม
หลังจากทั้งหมดหยุดรวมกลุ่มกันปรึกษาหาหลู่ทางและเส้นทางที่จะเดินรุดไปเบื้องหน้า ก็ได้ขอสรุปว่า ทั้งหมดยังคงใช้เส้นทางเดิม ที่พรานเบกำหนดอยู่ คือเดินตามด่านเก่า ซึ่งมันก็เป็นเส้นทางเดียวกับช้างโขลงนั้น ส่วนเรื่องที่มันจะบ่ายหน้าหรือเปลี่ยนเส้นทางตามที่พรานแปะบอกหรือไม่ ทุกคนก็ไม่อาจคาดคะเนได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคิดและหวังอยู่เหมือนกันคือ อย่าได้พบเจอกันเลย

          โดยการนำทางของพรานเบ ทั้งคณะยังคงเดินจับเส้นทางด่านเก่านั้น ซึ่งตอนนี้เปิดกว้างและดูโล่งเตียนผิดปกติ เพราะเพิ่งจะถูกโขลงช้างทั้งโขลงเดินลุยผ่านไปไม่นาน กล้วยป่าหลายกอ ถูกกระชากกินยอดอ่อนและไส้ในจนล้มระเนระนาด ร่วมถึงบริเวณที่เป็นลานดิน ก็มีร่องรอยพว กมันตีแปลงนอนเป็นกลุ่ม กิ่งไผ่และกิ่งไม้ใกล้ๆถูกพว กมันหักกระชากจนแหลกลานดูโล่งเตียน กองมูลหรือขี้ช้างกระจัดกระจายเกลื่อน เล็กบ้างใหญ่บ้าง เรี่ยราดตามเส้นทางด่านไปหมด บ่งบอกให้รู้ว่า ช้างโขลงนี้มีหลายขนาดและไม่น่าจะต่ำกว่าสิบเชือก

          พรานเบยังคงพาคณะทั้งหมดเดินตามทางด่านนั้นไป ซึ่งมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบี่ยงเส้นทางอย่างที่คิด ตลอดเส้นทางด่าน ร่องรอยของช้างโขลงนั้นก็ดูชัดเจนและใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกอไผ่และยอดไม้ ที่พวก มันหักกระชากลงมากิน กองมูลที่ยังสดอยู่ ทำให้คนนำทางต้องคิดหนัก หลังจากเดินสำรวจจนทั่วบริเวณ พรานเบก็ให้คณะหยุดอีกครั้ง ก่อนที่จะเรียกทุกคนมาหารือต่อ

“ชักไม่เข้าท่า”

“ขืนเดินตามหลังมันแบบนี้ คงได้เจอกับมันแน่”พรานเบร้องบอก พูดจบก็ล้วงห่อยาเส้นมาม้วนสูบ

“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ”

“นอกจากทางนี้แล้ว พอจะมีทางอื่นหลบพว กมันอีกหรือเปล่า”สิงห์ร้องถามพรานนำทาง ซึ่งตอนนี้ยืนสูบบุหรี่ยาเส้นจนหน้าเครียด นอกจากพรานเบแล้ว ทุกคนในคณะก็มีอาการวิตกกังวลไม่แพ้กัน คณะที่พรานเบใช้ปลายหัวแม่มือกดหัวคิ้วอย่างใช้ความคิดไม่นาน ก็เหมือนจะนึกอะไรออก

“ข้าพอจะคิดอะไรได้แล้ว”

“เดี๋ยวข้าจะพาตัดขึ้นเนินนี้ไปเลย”พรานเบพูดพลางชี้มือบอกทุกคน

“อาจจะลำบากหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไปเจอพว กมัน”

“พ้นเนินนี้ไป ก็ถึงเขาสกแล้ว”พรานเบพูดจบก็ยกบุหรี่ขึ้นสูบ

“หวังว่ามันคงไม่ไปดักรอพวกเราตรงนั้นเสียล่ะ”

“น้าเบว่าไง ผมก็ว่าแบบนั้น”สิงห์ตอบ

“ถ้าเจอกับมันจริงๆ ข้าก็มีช่องทางที่จะหลบมันได้”

“บนเขาสกพอจะมีหน้าผาให้เราขึ้นไปหลบ”

“ ชันขนาดนั้นต่อให้ช้างก็ไต่ขึ้นไม่ไหว”พรานเบพูดอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ข้อสรุปของพรานนำทางอีกครั้ง ทั้งคณะก็เริ่มเคลื่อนขบวน แทนที่จะเดินตามทางด่านที่โล่งเตียน พรานเบกลับพาทั้งหมดเดินไต่ขึ้นเนินชั้น ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของเนินเขา ที่ตอนนี้รกเครือไปด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ การเดินทางจึงเชื่องช้าลงไปอีก เส้นทางลาดชันจนต้องคอยเอามือยันพื้นประคอง และเหนี่ยวรั้งต้นไม้กันลื่นไถล เพราะดินบนเนินเขาเป็นดินร่วนผสมลูกรัง ทำให้ลื่นไถลได้ง่าย แต่ถึงจะพยายามป้องกันและระมัดระวังขนาดไหน ก็ยังพลาด โดยเฉพาะพรานพรและพรานแปะ ที่ต้องแบกประคองกระบอกน้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วย เพราะทั้งสองมีมือเพียงข้างเดียวที่ช่วยฉุดดึง ส่วนอีกข้างต้องคอยจับประคองกระบอกน้ำ ทั้งสองจึงดูทุลักทุเลกว่าเขาเพื่อน ขนาดคนที่มีมือสองข้างคอยช่วยยังลื่นจนหน้าคว่ำไม่รู้กี่ครั้ง คนมีมือข้างเดียวคงไม่ต้องพูดถึง

        ป่าเปลี่ยวเย็นสลัว ดูขมุกขมัว เพราะดวงอาทิตย์เริ่มลับสันเขาไปแล้ว หมู่นกกาที่พากันส่งเสียงกันเซ็งแซ่ ต่างพากันบินกลับรวงรังเตรียมเข้านอน จักจั่นเรไรที่พากันกรีดปีกระงมป่า เมื่อครั้งดวงตะวันยังสาดแสง ดูเหมือนว่าจะถูกผลัดเปลี่ยนมาเป็นเสียงจิ้งหรีดลองไน เมื่อยามท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว เย็นย่ำตะวันลอน บริเวณหุบไหนสักแห่ง เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วแว่วมาให้ได้ยิน นกเงือกฝูงใหญ่บินผ่านระหว่างช่องเขาหลายสิบตัว สีขาวสลับดำของปีกอันกว้างใหญ่ของมันดูตัดกันเห็นได้ชัด ซึ่งค้านกับสีเหลืองส้มของจะงอยและหัวอันใหญ่โตผิดรูปร่าง อากาศเริ่มเย็นยะเยือกละอองหมอกและน้ำค้างเริ่มก่อตัวเป็นม่านบดบังวิสัยทัศน์แต่คณะทั้งหมดก็ยังไปไม่ถึงจุดหมายที่ต้องการ

        สรรพสำเนียงใกล้พลบค่ำ ของสัตว์ป่านานาพันธุ์ กู่แว่วผสานเสียงกันอย่างเริงร่า เพราะอีกไม่นานพวกมันก็จะได้ออกมาท่องเที่ยวหากิน  เสียง หวีดหวิว คล้ายกับคนผิวปาก ของนกกางเขนดง ที่ดังมาทางหัวขบวน มันคงตกใจการมาของมนุษย์ผู้แปลกหน้า ที่ย่ำกรายเข้ามาในอาณาเขตของมัน พร้อมๆกับเสียงโขลกของกระรอกแดง ดัง ป๊อกๆ บนเถาวัลย์เหนือหัว ก่อนที่มันจะไต่หนีไปในดงทึบ เมื่อเห็นเงาตะคุ่มๆ ของมนุษย์ทั้งแปด เสียงที่ได้ยินล้วนแล้วเป็นรหัสป่าของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เย็นย่ำลงทุกขณะที่พรานนำทางพาไต่เนินเขาชันขึ้นเรื่อย จนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการเคลื่อนขบวน จนฟ้าเริ่มมืดสลัว จนสิงห์ซึ่งกระวนกระวายใจอยู่ก่อนแล้วร้องถาม

“จวนแล้วหรือยังน้าเบ ถ้าไม่ทันก็หาที่พักแถวๆนี้ก่อนก็ได้”

“มืดค่ำแล้วจะลำบาก”สิงห์ร้องพลางฉุดแขนพรานโส่ยที่ไต่มาตามหลัง

“เอ็งจะให้ไอ้เบมันหาที่พักให้เอ็งได้ที่ไหนกันล่ะ”

“ชันขนาดนี้”พรานโส่ยตอบ

“จวนแล้วล่ะ พ้นเนินนี้ไปก็ถึงแล้ว”

“เอ็งสองคนเป็นไง ไหวหรือเปล่า จะผลัดกับข้าก็ได้นะ”พรานเบหันมาตอบสิงห์ จากนั้นก็ร้องถามพรานพรและพรานแปะ ที่อยู่หลังขบวนสุด

“ไหวอยู่ ให้แบกช้างอีกตัวยังสบายเลย”พรานพรตอบไม่วายให้ขบขัน แต่คนที่ไม่ขำด้วยคือพรานโส่ยที่โพล่งออกมาด่าลั่น

“ไอ้หอ ก เสือ กพูดถึงเขา เดี๋ยวพ่อเอ็งก็มาเยี่ยมหรอก”พรานชราร้องพลางทำตาถลนใส่พรานพร

“แกก็กลัวอะไรไม่เข้าท่า”

“เขาสกนา..ไม่ใช่ทุ่งนาหลังบ้านแก”พรานพรพูดพลางขำชายชรา

“ทำเป็นขำไปเถอะเอ็ง เจอเข้าจริงๆข้าจะปล่อยให้พ่อเอ็งกระทื บให้จมเลย”ประโยคของพรานเฒ่า เล่นเอาพรานพรขำต่อไม่ออก ส่วนคนอื่นๆก็ไม่มีทีท่าเดือดร้อนอะไร มีเพียงแต่สิงห์คนเดียวเท่านั้นที่วิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะไม่มีที่พัก เพราะตอนนี้ท่องฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที

          หลังจากหยุดพักและพูดคุยปรึกษากันชั่วขณะ พรานเบก็พาเดินนำทางต่อ จริงอย่างที่พรานนำทางว่า เพียงทั้งหมดไต่พ้นเนินเบื้องหน้าได้ไม่นาน ทุกคนก็มาโผล่บนลานราบเรียบตอนหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งนี้เองที่คณะทั้งหมดจะต้องค่างแรมกัน พรานเบเลือกที่พักได้ที่บริเวณลานโล่งติดเนินชัน ซึ่งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุดและดีที่สุดในบริเวณนี้ที่จะหาได้ เบื้องหลังเป็นเนินเขาสูง ด้านข้างทั้งสองอุดมไปด้วยไม้ใหญ่ ทั้งไม้แดง ประดู่ และไผ่ป่าอีกหลายกอที่ขึ้นเบียดกันจนแน่น  ส่วนด้านหน้าก็เป็นเนินชันที่คณะทั้งหมดพากันไต่ขึ้นมา ต่อให้ช้างบุกเข้ามาจริงๆ ก็ยากที่ทั้งหมดจะไม่รู้ตัว ด้านหน้าและด้านหลังไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากนัก เพราะเป็นที่สูงชัน ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ ด้านข้างทั้งสองด้าน ถึงจะมีไม้ใหญ่ขึ้นเบียดกันหนาขนาดนั้น แต่มันก็พอจะมีช่องว่างกว้างพอที่ ช้างจะผ่านได้ที่ละตัว

          เมื่อได้สถานที่ตั้งแค้มป์แล้ว ทุกคนต่างช่วยกันจัดเตรียมสถานที่พักกันอย่างรีบเร่ง เพราะมืดสลัวแบบนี้ จะหยิบจับอะไรก็ไม่ถนัดนัก ตอนนี้เองที่ไฟฉายของแต่ละคนส่องวูบวาบในความมืด พรานพรหลังจากแบกน้ำคู่กับพรานแปะมาจนไหล่ลู่ แต่ก็ยังมีแรงเหลือเฟือ ทั้งสองจึงแยกออกไปหาฟืนเตรียมก่อไฟ ซึ่งไม่ต้องไปไหนไกลนัก เพราะรอบๆที่พักฟืนแห้งมีมากมาย ส่วนพรานโส่ยและเหน๋อ ต่างช่วยกันรื้อข้าวของและเสบียงเตรียมหุงหาอาหาร ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันปัดกวาดและตัดลิดไม้เล็กไม้น้อยที่ขึ้นเกะกะสถานที่ เพียงชั่วเวลาไม่นานก็ได้ลานดินราบเรียบน่าอยู่ พร้อมๆกับกองไฟกองใหญ่ก็ถูกก่อขึ้นกลางลาน จนบริเวณที่พักสว่างโพลง...

*****จบบทที่ 7 โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในบทที่ 8 เร็วๆนี้*****

ผิดพลาด ตกหล่น ประการใด ผม หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5
ภาพที่ 2
ยอดไม้สูงจนปวดคอ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5
ภาพที่ 3
เจ้าพุ่มปีนขึ้นไปเก็บอะไร ซนจริงๆ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5
ภาพที่ 4
ออ...ลูกซ่า-ธง(ภาษากะเหรี่ยง)  ผลไม้ป่าชนิดหนึ่ง หรือทางภาคเหนือเรียกว่า ลูกมะหลอด นี่เอง
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5
ภาพที่ 5
นี่ก็อีกต้น จะมีให้เก็บน่าจะช่วงประมาณเดือน มค.-กพ ครับ หนาวชนแล้ง
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024