สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 19 เม.ย. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 21 - [16 ม.ค. 56, 16:20] ดู: 3,321 - [18 เม.ย. 67, 22:38] โหวต: 16
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
14 พ.ย. 54, 08:17
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5
ภาพที่ 1
บทที่ 8

ตอนที่ 5

          เสียงสวดพึมพำจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเป็นภาษาอะไร เพราะไม่คุ้นหูและฟังไม่ออก นอกจากชายชราผู้นั้นแล้ว ระหว่างโคนต้นไม้ใหญ่ไม่ห่างกันยังมีร่างของบุคคลที่แต่งกายในลักษณะเดียวกัน นั่งกระจัดกระจายอีกหลายคนตามบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น ราวกับนักบวชที่ออกจาริกแสวงบุญ หรือไม่ก็พระภิกษุสงฆ์ที่ออกธุดงค์หาความวิเวก แต่ลักษณะการแต่งกาย และสภาพในตอนนี้ที่เห็นบอกกับตัวเองว่า ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แล้วบุคคลที่ตนเห็นนั้นเป็นใครมาจากไหน มันสร้างความพิศวงให้กับตัวเองภายในใจ ไม่รู้ว่ามีสิ่งอันใดมาดลจิตดลใจ ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบนั่งคุกเข่าพนมมือกราบ ด้วยความเครารพและศรัทธา แต่ดูเหมือนว่าชายที่นั่งสวดอยู่ตรงหน้านั้น ไม่มีท่าทีตอบสนอง หรือรับรู้ถึงการมาของอาคันตุกะเช่นเขาเลย ตรงกันข้ามชายชราในชุดขาว หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะเป็นนักพรตนักบวชผู้ถือศีล ยังคงนั่งหลับตาท่องบทสวดอยู่อย่างนั้น เหมือนไม่ได้เกิดสิ่งใดผิดปกติ แต่ด้วยความสงสัยและอยากรู้ ทำให้ชายหนุ่มร้องถามชายชราในชุดขาวนั้นว่า

“กราบนมัสการครับท่าน”ชายหนุ่มนั่งคุกเข่า พร้อมพนมมือจรดไว้เสมออก

“...”
เงียบ ไม่มีเสียงหรือถ้อยคำสนทนาใดๆ นอกจากบทสวด

“ท่านครับ”

"อ..เอ่อ..ท่านครับ"

“ท่านได้ยินผมอยู่หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มร้องเรียกอยู่เช่นนั้น แต่ทุกครั้งก็ได้คำตอบเช่นเดิม คือไม่มีการตอบรับจากชายชราคนนั้นเลย มีเพียงเสียงสวดเท่านั้นที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก และดูเหมือนว่านักพรตหรือนักบวช คนอื่นๆคงจะมีอาการและลักษณะเดียวกันหมด แต่ด้วยความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มหัว ทำให้ชายหนุ่มเอื้อมมือจะไปสัมผัสกายของชายชราผู้นั้น เพื่อหวังจะทำให้บุคคลที่นั่งอยู่เบื้องหน้ารู้สึกตัว หรือรับรู้รับทราบถึงการมาเยือนของเขา แต่ยังไม่ทันที่นิ้วมือของเขาจะสัมผัสร่างกายของชายชรา เหตุการณ์ที่ทำให้ชายหนุ่มตื่นตะลึงก็เกิดขึ้น

        ราวกับไอน้ำที่เป็นควันฟุ้งออกมาจากกาต้มน้ำเวลาเดือด แต่มันมากมายมหาศาลหลายพันเท่า ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า กลับกระจายหายไปเหมือนกับอายหมอก ต้นไม้ พื้นดิน รวมถึงร่างของนักพรตชรา และบุคคลอื่นๆ ก็พลันเหือดหายไปพร้อมกันหมด เหมือนฉากในภาพยนตร์ที่ถูกตัดหรือเปลี่ยนฉากโดยฉับพลัน อายหมอกหรือไม่ก็ควันที่กระจายฟุ้งอยู่ทั่ว อยู่ดีๆก็มีทีท่าว่าจะก่อรวมตัวกันอีกครั้ง แต่แทนที่จะก่อรวมตัวกันเป็นภาพเดิมอย่างที่เขาคิด แต่มันค่อยๆก่อตัวเป็นสิ่งใหม่เหมือนฉากที่ถูกเปลี่ยนแปลง

          เงาลางๆของผู้คนมากมายปรากฏขึ้น ทั้ง บุรุษ สตรี และผู้เฒ่าคนชรา เดินกันพลุ่งพล่านแรกๆก็มองเห็นไม่ชัดนัก แต่ชั่วเวลาไม่นาน ภาพที่เห็นก็ชัดเจนขึ้นทุกขณะ ดูเหมือนว่าจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไม่มีบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นอกจากต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ขึ้นเรียงราย ซึ่งมันก็ค้านกับหมู่บ้านหรือชุมชนโดยทั่วไป อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า สถานที่นี้อาจเป็นสถานที่ชุมนุมหรือพบประกัน แต่เท่าที่เฝ้าสังเกตดูก็ไม่น่าจะใช่ เพราะหลายคนหายร่างเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น และถ้าดูไม่ผิด ต้มไม้ที่เห็นนั้นมันคือต้นตะเคียน

          บุคคลที่เห็น ล้วนแล้วแต่แต่งกายในชุดที่แปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็คลับคล้ายคลับคลา กับชุดของสตรีนางหนึ่ง ที่เดินเฉียดเข้ามาใกล้ ทั้งสไบและผ้าซิ่น ก็ดูเหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออก สตรีแต่ละคนดูงดงามอ่อนช้อย รูปร่างหน้าตาดูสะอาดสะอ้านอิ่มเอิบ เปรอะไปด้วยรอยยิ้ม ดูเป็นมิตรไมตรี รวมถึงเหล่าบุรุษเพศ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีร่างกายบึกบึนแข็งแรง สง่างาม ดูแตกต่างไปจากกลุ่มนักพรตหรือนักบวช ทรงผมที่ถูกรวบมัดกันเป็นมวยมีปิ่นที่ทำจากรากไม้เสียบขัดไว้ หนวดเคราก็ดูสั้นเป็นระเบียบไม่ได้ปล่อยยาวเหมือนกับเหล่านักพรต ราวกับมันจะถูกตัดเล็มให้ดูสั้นตลอดเวลา และนอกจากสร้อยคอที่ทำจากเมล็ดพืชสีน้ำตาลแล้ว ไม่มีสิ่งใดปกปิดท่อนอกที่ดูเปลือยเปล่า บุรุษแต่ละคนล้วนแต่นุ่งผ้าโสร่งสีเปลือกไม้ไม่ได้มีลวดลายอะไร โดยมีสายเชือกถักคาดรัดไว้กับเอว

          สำหรับชุดแต่งกายของเหล่าสุภาพสตรี ซึ่งที่จริงแล้วก็ดูคุ้นหูคุ้นตา จนบอกกับตัวเองไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ทั้งผ้าสไบผืนบางๆหลากสีของบรรดาสุภาพสตรีทั้งหลาย ที่คล้องปิดอำพรางสองประทุมถันอย่างหละหลวม ที่แทบจะไม่ได้อำพรางความเปล่าเปลือยมองเห็นเด่นชัดแบบนั้นได้เลย แต่ที่ดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ สีของผ้าสไบคล้องเหล่านั้นที่พอจะแยกแยะได้อย่างชัดเจน ถ้าเป็นหญิงสาวผ้าคล้องจะมีสีสันแตกต่างกันออกไป เช่นสีเหลือง สีเขียว สีชมพู และสีส้ม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสีโทนอ่อนทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นสตรีสูงอายุหรือชราภาพแล้ว ผ้าคล้องจะเป็นสีขาว รวมถึงทรงผมที่ดูหงอกขาวโพลนไปทั้งศีรษะก็ถูกมัดรวบเป็นมวย แต่สำหรับหญิงสาวที่มีเส้นผมดำขลับเป็นเงางาม จะถูกปล่อยยาวสลวยดูเป็นธรรมชาติ ส่วนผ้าที่นุ่ง หรือผ้าซิ่นดูเหมือนว่าจะเป็นสีน้ำตาลเปลือกไม้เช่นกัน โดยคาดนุ่งปิดบริเวณเอวไปจนถึงข้อเท้าที่ว่างเปล่า นอกจากดอกไม้ที่เหน็บทัดติดหูอยู่นั้น สุภาพสตรีแต่ละนางล้วนแล้วแต่ไม่มี สิ่งของมีค่าใดๆที่แสดงว่าเป็นเครื่องประดับบนเรือนร่างเลยแม้แต่ชิ้นเดียว สิ่งที่ดูสวยงามมากกว่าเครื่องประดับก็เห็นจะมีเพียง หน้าตาและเรือนร่างของแต่ละคนเท่านั้น ที่มณีแก้ว หรือเพชรพลอยของมีค่าใดๆ ไม่อาจสามารถ มาเปรียบเทียบความงดงามของบุคคลเหล่านั้นได้เลยแม้แต่ผงธุลี

          ส่วนเด็กเล็กๆทั้งหญิงและชาย ที่วิ่งเล่น หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน นอกจากทรงผมที่ถูกรวบมัดเป็นมวยดูน่ารักนั้นแล้วที่พอจะแยกแยะว่าเป็นเด็กผู้ชาย มีเพียงผ้าเตี่ยวผืนเล็กสีน้ำตาลปกปิดส่วนที่บ่งบอกเพศไว้เท่านั้น แต่สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนั้น จะแต่งกายคล้ายๆหญิงสาวที่ย่างก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ แต่จะแตกต่างกันก็ตรงที่ชุดที่สวมใส่มีขนาดเล็กย่อส่วนลงมานั้นเอง ดูผิวเผินไปแล้ว ชุมชนที่เขาเห็นในขณะนี้ ทั้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ลักษณะท่าทางของผู้คน แม้จะไม่รู้ถึงอุปนิสัยใจคอที่แท้จริง ของบุคคลในชุมชนประหลาดเหล่านั้นก็ตาม แต่ความนึกคิดหรือจิตสำนึกภายในใจลึกๆบางอย่างบอกกับตัวเองว่า บุคคลเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีมิตรไมตรีจิตด้วยกันทั้งนั้น แววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไร้พิษภัยของแต่ละคน แสดงถึงความอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

          ท่ามกลางความมึนงง และพิศวง ซึ่งชายหนุ่มไม่นึกไม่ฝันที่จะได้พบเห็นมาก่อน หรือสิ่งที่เขาเห็นนี้ เป็นเพียงแค่ความฝันจากห้วงสำนึกในจินตนาการ ชุมชนขนาดใหญ่หรือจะเรียกว่าหมู่บ้านขนาดย่อมๆก็ยังได้ ทำไมถึงมาตั้งรกรากอยู่กลางดงดิบขนาดนี้ หรืออาจจะเป็นทวยเทพที่อาศัยสิงสถิตตามต้นไม้ใหญ่ แทนที่จะเป็นที่อยู่อาศัยแบบมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไป  แทนที่จะเกิดความรู้สึกกลัว แต่เขากลับรู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้มีอบอุ่นและปลอดภัย ชายหนุ่มเดินแทรกกายปะปนไปกับฝูงชนนั้นอยู่อย่างระมัดระวัง เหมือนกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในบุคคลของชุมชนนั้น ทั้งเฝ้าสังเกต การเคลื่อนไหว การพูดจาส่งภาษา และกิจกรรมต่างๆ ด้วยความตื่นเต้น แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครในชุมชนแห่งนั้น รับรู้หรือมองเห็นการมาของเขาเลย เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามร้องเรียกหรือส่งภาษาทักทาย ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ไม่มีผลตอบรับอะไรกลับมาเลยทั้งสิ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์แรกที่ตัวเองพบเจอมาสดๆร้อนๆ ขณะที่ชายหนุ่มเดินสำรวจหมู่บ้านประหลาดนั้นเอง ครั้งแล้วก็มีเสียงระเบิดกึกก้อง จนตัวเองถึงกับสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปดูที่มาของเสียง ภาพที่ปรากฏทำให้เขาถึงกับร้องลั่นอย่างลืมตัว

“เฮ้ย!”

“ใครมาระเบิดภูเขาว่ะนั่น?” ชายหนุ่มร้องลั่นเบิกตาโพลงไปที่ภูเขาขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้มีฝุ่นกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ แต่ไม่ทันที่สิงห์จะได้ตั้งตัว ครั้นแล้วกัปนาทก็แผดเสียงสนั่นอีกครั้ง จนพื้นที่ยืนถึงกับสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ ของบุคคลในชุมชนนั้น ผู้คนที่เห็นต่างวิ่งหนีหายตัวเข้าไปในต้นตะเคียนนั้น ลูกเด็กเล็กแดงร้องจ้าเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างขีดสุด

“ตูมมม!”

“ซ่า...”

“เฮ้ยไอ้หนู ระวัง!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง เมื่อเห็นก้อนหินขนาดเท่าครกตำข้าว ปลิวกระเด็นลงมา กลิ้งขลุกๆ ตรงมายังตำแหน่งของเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น ด้วยความเป็นห่วงทำให้ชายหนุ่มพุ่งตัวเขาไปช่วยเด็กน้อยคนนั้นอย่างลืมตัว แต่แทนที่จะสัมผัสกับกายของเด็กผู้กำลังจะเคราะห์ร้าย ชายหนุ่มกับ คว้าได้เพียงอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะลงไปนอนกองอยู่กับพื้นที่ว่างเปล่า

“อะไรกันนั่น”

“เด็กคนนั้นหายไปไหนแล้ว”ชายหนุ่มละล่ำละลัก พลางกวาดสายตาหาเด็กน้อยคนที่ตัวเองหวังจะช่วยชีวิตไว้ พร้อมๆกับฉากที่เขาเห็นก็ค่อยๆจางหายไป ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในภาพเหตุการณ์ใหม่ที่เขาถึงกับอึ้งขึ้นไปอีก

          กองคาราวานทั้งมนุษย์ และเครื่องจักรสารพัดชนิด พากันบุกตะลุยเข้ามาเป็นทิวแถว ราวกับน้ำป่าที่กวาดล้างทุกสรรพสิ่งที่กีดขวางทางของมัน ให้พบกับความย่อยยับ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกึกก้อง ราวกับฟ้าคำราม ติดตามมาด้วยเสียง ครืนสนั่น ของไม้ใหญ่หลายต้นที่ทยอยล้มลงทีละต้นสองต้น ฝูงสัตว์ป่าน้อยใหญ่พากันวิ่งกระเจิดกระเจิงอย่างตื่นตกใจ ทั้งเสียงขวาน เสียงเลื่อย ที่ฝากคมไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า ดังก้องไปทั้งบริเวณ และมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆราวกับน้ำป่าที่กำลังไหลบ่าเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 

        รถบรรทุกท่อนซุงขนาดใหญ่ คันแล้วคันเล่า ขับผ่านหน้าชายหนุ่มที่ยืนตกตะลึงกับภาพที่มองเห็นอยู่เช่นนั้น จากป่าทึบกลับกลายมาเป็นที่โล่งเตียน เปลวไฟที่ลุกโหมกระหน่ำกระจัดกระจาย ส่งควันม้วนตลบสู้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับเมฆฝน พื้นดินที่เคยชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้พรรณ แปลสภาพมาเป็นพื้นดินแห้งแล้งแตกระแหง ส่งฝุ่นฟุ้งกระจายทุกครั้งเมื่อมีลมพัดมา ตามเนินเขาที่เคยเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ตอนนี้ไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลยแม่แต่น้อย เหลือเพียงตอไม้ที่ถูกทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์

        ระหว่างที่ชายหนุ่มเฝ้ามองภาพแห่งการทำลายล้างด้วยใจอันสลดหดหู่  ทันใดนั้นเงาของบุคคลปริศนาที่เคยแทรกกายซ่อนเร้นในที่พักอาศัยหรืออีกนัยก็คือต้นตะเคียนยักษ์ ก็พากันทยอยออกมาให้เห็นทีละคนสองคน เพียงไม่นานก็มองเห็นเหล่าสมาชิกออกมายืนเรียงรายกันเต็มไปหมด ทั้งหนุ่ม สาว ลูกเล็กเด็กแดง และคนชรา ทุกคนล้วนแล้วแต่หลั่งน้ำตาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนล้มทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเองให้ยืนต่อไปได้ หลายคู่ก็กอดกันร้องไห้ ดูแล้วน่าสงสารและเวทนา เด็กเล็กๆที่เคยซุกซน ร่าเริง บัดนี้กลับมาเศร้าหมองแววตาส่อความตระหนกตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมีมนุษย์บุกถากถางเข้ามาถึง และแน่นอนเป้าหมายที่มนุษย์เหล่านั้นหมายตาเอาไว้ ก็คือ บรรดาต้นตะเคียนขนาดยักษ์ที่ยืนเรียงรายเต็มไปหมด คมขวานแรกที่ถูกเงื้อฟันอย่างไม่ปราณีก็บังเกิดขึ้น พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานของผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของบุคคลนั้น ชายหนุ่มทนฝืนเฝ้ามองอยู่ต่อไปไม่ไหว กำปั้นที่กำแน่นบีบเกรงโดยไม่รู้ตัว บอกไม่ถูกว่าไปโกรธแค้นใครมาจากไหน จนเขาไม่สามารถระงับอารมณ์ที่ระเบิดพล่านอยู่อกไม่อยู่

“เฮ้ย อย่า!”

“อย่าตัดต้มไม้พวกนั้น”ชายหนุ่มตวาดลั่น พลางวิ่งพรวดเขาไปหาหมายจะหยุดยั้งคมขวานที่กำลังจะกระหน่ำฟันซ้ำลงไปอีก

“หยุดสิวะ”

“ไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือไง?”

“เฮ้ย บอกให้หยุดยังไงวะ”ไม่พูดเปล่า สิงห์พุ่งไปพร้อมกำปั้นที่เหนี่ยวออกไปเต็มแรง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำ มันจะไร้ผล เพราะนอกจากจะไม่ถูกอะไรแล้ว ตัวเขาเองนั้นล่ะที่เสียหลักจากการเหวี่ยงหมัดชกอากาศ จนตัวเองหมุนคว้างหน้าหงายลงไปนอนกองกับพื้น ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น สิงห์ก็ไม่หยุดความพยายามแม้ว่า สิ่งที่ทำมันจะไม่มีประโยชน์อะไรก็ตาม หมัดแล้วหมัดเล่า ที่ถูกเหวี่ยงออกไปแบบไร้ค่า จนเจ้าตัวเหนื่อยแทบคลาน แต่นั้นก็ไม่เท่ากับภาพที่เขากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้

          เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวใจของชายหนุ่ม ทันทีที่ตะเคียนยักษ์ต้นนั้น ถูกตัดโค่นล้มลงมา ร่างของผู้ที่อาศัยร่างนั้นก็พลันสลายหายไปราวกับฝุ่นผงที่ปลิวไปตามลม พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ค่อยๆจางหายไป ความหมายของเหตุการณ์ที่เขาเห็นพอจะให้เดาได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น ราวกับว่าทั้งสอง เหมือนเป็นสิ่งๆเดียวกัน ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ขาดชีวิตหนึ่งอีกชีวิตก็ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ต่อไปได้ ทำให้คนที่เฝ้ามองถึงกับสะเทือนใจ กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

          หมดเรี่ยวแรงที่จะร้องห้าม หมดสิ้นหนทางที่จะร้องบอก หมดแม้กระทั่งกำลังที่จะทรงตัวให้ลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มได้แต่มองภาพเหตุการณ์ทำลายล้างนั้น ปล่อยให้ดำเนินต่อไปจนหมดอาลัยตายอยากที่จะทำอะไรทั้งสิ้น ต้นตะเคียนขนาดใหญ่ ต้นแล้วต้นเล่า ที่ถูกโค่นล้มลงมากองเกลื่อน เสียงหวีดร้องด้วยความกลัว และเสียงร้องไห้ ที่ดังอื้ออึง ภายในโสตประสาท ดูเหมือนว่าจะดังก้องอยู่ในหัวดูสับสนไปหมด ภาพไม้ล้ม ภาพร่างกายที่แตกสลายราวกับฝุ่นผงแค่เห็นแวบเดียว ก็ทำให้รู้ถึงความเจ็บปวดสุดแสนจะบรรยาย ภาพนั้นเปลี่ยนสลับกันไปมา เหมือนทีวีที่ถูกเปลี่ยนช่องหลายๆครั้ง วนเวียนสลับกันไปมา จนตัวเองเกือบจะรับสภาพนี้ต่อไปไว้ไม่ไหว แต่ในฉากที่ดูวุ่นวายและโหดร้านนั้นเอง ภาพๆหนึ่งก็พลันบังเกิดขึ้น

          ท่ามกลาง กองท่อนซุงขนาดยักษ์ ที่กระจัดกระจายเกลื่อน และคาราวานรถบรรทุก ที่วิ่งตีฝุ่นตลบฟุ้งไปทั่วบริเวณ บริเวณนั้นเอง ที่ชายหนุ่มมองเห็น ตะเคียนยังต้นหนึ่ง ที่ยืนต้นโดดเดียว ท่ามกลางเศษซากของการทำลาย เงารางๆของชายหญิงคู่หนึ่ง ยืนร้องไห้กอดกันแน่น ภายใต้ต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น นอกจากบุคคลทั้งสองแล้ว ในอ้อมกอดของสตรีผู้นั้น มีร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ถูกกอดไว้แน่น ถ้าเขาเดาไม่ผิด บุคคลทั้งสามคงเป็นครอบครัวสุดท้าย ที่หลงเหลืออยู่ในขณะนี้ ผู้ที่เป็น บุรุษ น่าจะเป็น บิคา ส่วนสตรีผู้นั้นก็ควรจะเป็น มารดา และเด็กหญิงคนนั้น จะเป็นเสียมิได้นอกจากบุตร ของบุคคลทั้งสอง เด็กหญิงวัยสองขวบเศษร้องไห้อยู่ตลอดเวลา เกาะผู้เป็นแม่ไม่ยอมปล่อย เหมือนชายหญิงคู่นั้นจะทำอะไรบางอย่างกับเด็กหญิงคนนั้น แต่ไม่ทันที่เขาจะสงสัยอะไรได้อีก เสียงโครมครามก็ดังกระหึ่มมาแต่ไกล

          ราวกับแผ่นดินสั่นสะเทือนไหว ไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวหรือร้องอะไรออกมา คลื่นน้ำขนาดใหญ่มหึมาก็ถาโถม สัดกระหน่ำ สายน้ำที่เชี่ยวกราด ไหลบ่ามาอย่างรวดเร็ว มันกวาดพัดทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า สายน้ำที่ไหลเชี่ยวม้วนตลบปะปนมากับเศษซาก และดินโคลน ก่อนที่มันจะก่อตัวเพิ่มระดับความสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว ไม่ถึงพริบตามันก็ไหลบ่าเข้ามาท่วมบริเวณต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้นจนได้ ขณะที่บุคคลทั้งสามยังยืนกอดกันแน่น ไม่ยอมขยับหนีเอาตัวรอด

          ชายหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายไปที่ตำแหน่งของบุคคลทั้งสาม เพื่อหวังจะทำอะไรสักอย่าง กับบุคคลเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ เพราะแทนที่เขาจะได้ลุยฝ่ากระแสน้ำไปอย่างที่คิด แต่มันกลับเป็นว่า เขาเดินลุยอยู่ท่ามกลางอายหมอก ราวกับภาพลวงตา สิ่งสุดท้ายก่อนที่จะเห็นระดับน้ำสูงท่วมต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้นก็คือ แสงสีขาวสว่างจ้าที่ตำแหน่งของบุคคลทั้งสาม จนสิงห์ต้องยกแขนขึ้นบังแสงสว่างนั้น ก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆจางลงไป ทันใดนั้นเขาก็เห็น ดวงไฟประหลาดดวงหนึ่งที่พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ระดับน้ำจะสูงท่วมต้นตะเคียนต้นนั้นจนจมมิด ดวงไฟดวงนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนหายไปในเงาเมฆ ก่อนภาพที่เลวร้ายนั้น จะค่อยๆดับมืดลงที่ละน้อยๆ จนในที่สุดก็จางหายไปกับสายหมอก พร้อมกับเงาลางๆของต้นตะเคียนยักษ์ที่เขาคุ้นเคย ปรากฏเด่นขึ้นมาแทนที่...!!

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร เด็กผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน และเป็นใคร? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

ผิดพลาด ตกหล่น ประการใด ผม หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5
ภาพที่ 2
ณ ที่ใดที่หนึ่งกลางป่าเถื่อน
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5
ภาพที่ 3
อาหารหลัก ผักหญ้าที่หาได้จากธรรมชาติ ไร้สารพิษ 100%
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5
ภาพที่ 4
ร้าน หรือ ชั้นวางของ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แล้วแต่โอกาส
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5
ภาพที่ 5
นี่ก็อาหารหลัก ช่วงที่ชุมที่สุด เท่าที่ผมเคยหามา น่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว ถึง ฤดูแล้ง เหตุผลน่าจะปริมาณน้ำในห้วยเริ่มลดลง ปลาก็หาง่าย ว่างั้น
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5
ภาพที่ 6
คิดว่าเจ้าที่ ที่ไหน ตาโส่ยนี่เอง
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024