สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 3 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 16 - [6 ก.ย. 55, 11:56] ดู: 3,182 - [27 เม.ย. 67, 12:22] โหวต: 12
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
28 พ.ย. 54, 13:36
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
ภาพที่ 1
บทที่ 9

ตอนที่ 1

          ราตรีกาลเคลื่อนคลายออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสิ่งต่างๆที่ถูกซ่อนงำไว้หลังม่านความมืดมิด ราวกับคลื่นทะเลในยามน้ำลง ที่เผยให้เห็นพื้นทรายอย่างไรอย่างนั้น อากาศในยามเช้าที่ยังดูมืดครึ้ม เพราะในราวป่ายังหนาแน่นไปด้วยสายหมอกที่หนาทึบ แลดูเป็นละอองฝอยเหมือนฝุ่นแป้ง ที่แผ่ปกคลุมกระจายฟุ้ง ต้นไม้ต้นหญ้าทั่วทั้งบริเวณในตอนนี้ ดูชื้นแฉะไปหมด เพราะอิทธิพลของอายหมอกที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำค้าง นอกจากพืชพรรณที่เปียกปอนนั้นแล้ว บริเวณพื้นดินและหมู่หินก็พลอยเปียกแฉะไปด้วย

          เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง ก็เหมือนกับสัญญาณชีวิตที่เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง นกกานานาชนิด ส่งเสียงเพรียกขับขานอย่างเริงร่าในราวไพร เช่นเดียวกับหมู่แมลงก็พากันกรีดปีกอย่างไม่น้อยหน้า สูงขึ้นไปเหนืออายหมอกและยอดไม้ นกเงือกฝูงใหญ่บินผ่านไปหลายฝูง ถึงแม้จะมองไม่เห็นตัวเพราะถูกบดบังจากสายหมอก แต่เสียงของปีกอันใหญ่ของมัน ที่กระพือผ่านอากาศดัง หวือๆ ฟังได้ชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันบินไปทางไหน แต่ถ้าเดาไม่ผิด ในไพรกว้างแห่งนี้คงจะมีลูกไม้สุกที่ใดสักแห่งให้พวกมันได้จิกกิน

          อากาศสดชื่น แจ่มใสบริสุทธิ์ คละเคล้ากับอายหมอกจางๆ ถึงแม้ว่า ราตรีกาลได้ผ่านล่วงเลยไปนานแล้ว แต่ความหนาวเย็น ดูเหมือนกับจะยังไม่เคลื่อนตัวไปไหน อากาศเย็นยะเยือกจนพูดหรือหายใจออกมาเป็นควันขาว ราวกับคนที่สูบบุหรี่เป่าควันพุ้ย ถึงแม้จะหนาวเย็นขนาดไหน จนไม่อยากจะลุกขึ้นออกมาจากโปรงผ้าห่ม แต่ชายหนุ่มก็สู้ทนนอนแบบนั้นต่อไปไม่ไหว เพราะพื้นที่แข็งกระด้างที่ตัวเองนอนมาตลอดทั้งคืน ทำให้ปวดระบมตามร่างกายไปหมด ยิ่งอากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ ยิ่งเพิ่มความทรมานสังขารตัวเองจนบอกไม่ถูก สิ่งแรกที่เปิดเลิกถุงนอนออกมา ในขณะที่ตัวเองนอนหงายอยู่นั้นก็คือ เงาลางๆของยอดไม้ที่ถูกบดบังด้วยสายหมอกที่ดูขาวโพลนไปหมด เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดูเพื่อตรวจเช็คเวลา เข็มนาฬิกาตอนนี้ชี้บอกเวลาที่ หกนาฬิกา สิบแปดนาที หรือตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเช้านิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่าเขาอีกแล้ว ที่ตื่นเป็นคนสุดท้าย หรือจะบอกว่าตื่นสายกว่าเพื่อนก็คงจะถูก ส่วนพวกพรานกะเหรี่ยงคงตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

          หลังจากพยายามยันกายขึ้นอย่างเกียจคร้าน เพราะอากาศเย็นๆแบบนี้พาลทำให้รู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากจะลุกขึ้นจากที่นอน แต่เมื่อเห็นทุกคน ก็ล้วนแต่ทำงานเห็นกันอยู่งกๆ จะทนคู้ นอนอยู่เฉยๆก็ใช่ที่ สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาบิดกายไปมา จนกระดูกกระเดี้ยว ลั่นกราวไปทั้งตัว ก่อนที่จะทำท่าสยิวกอดกายตัวเองเพราะความหนาว

“เป็นไง นอนสบายดีมั๊ยเมื่อคืน” เสียงที่ร้องทายทักไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพรานโส่ย ซึ่งตอนนี้กำลังมะรุมมะตุ้ม อยู่กับถุงใส่ข้าวสารของแก

“ก็อุ่นดีลุง ดีกว่านอนเปลแยะ”

“เสียอยู่อย่างเดียว พื้นแข็งไปหน่อย ระบมหลังไปหมด”สิงห์ร้องตอบพรานชรา ที่กำลังใช้มือตวงข้าวสารใส่หม้อสนาม

“อ้าว..นั่นอะไรขาวๆติดอยู่บนหัวเอ็งแหนะ?”พรานโส่ย พูดพลางบุ้ยปากบอก หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เพราะหลังจากบอกแล้ว แกก็ก้มหน้าก้มตาจดจ่อที่หม้อข้าวของแกตามปกติ เมื่อสิงห์เอามือลูบศีรษะตัวเองถึงรู้ว่า อะไรชนิดนั้น ที่พรานเฒ่าว่ามาก็คือ ดอกของกล้วยไม้ป่า ที่เรียกว่า ช้างกระ นั้นเอง

“เธฮอีกแล้วสินะ พลับพลึง”ชายหนุ่มกล่าวบอกกับตัวเองภายในใจเช่นนั้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา ก่อนที่ ดอกช้างกระดอกเล็กๆดอกนั้นในมือ จะถูกหย่อนลงไปในกระเป๋าเสื้อเช่นเคย

“คนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะลุง”สิงห์ร้องถามพรานชรา พลางเก็บพับถุงนอนของตัวเอง

“ไอ้แปะ กับไอ้พร เห็นออกไปด้อมไก่ป่าตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”

“ไอ้เคิ้ง กับไอ้พุ่ม ออกไปหาฟืนใกล้ๆแถวๆนี้ล่ะ”ชายชราตอบ พลางเดินหิ้วหม้อสนามติดมือไปด้วยสี่ใบ

“แล้วไอ้เหน๋อไปไหนล่ะ น้าเบด้วย”สิงห์ร้องถามขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากพับเก็บถุงนอนของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินไปบริเวณ เป้สนามของตัวเองที่ถูกแขวนไว้กับต้นไม้

“มันตื่นก่อนเอ็งพักหนึ่ง ข้าไล่ให้ไปช่วยไอ้สองตัวนั่นแบกฟืน”

“ส่วนไอ้เบเห็นถือมีดถือเขียง เข้าไปในดง คงจะออกไปหาผักหาหญ้ามั๊ง”พรานโส่ยตอบ พูดจบก็ค่อยๆรินน้ำในกระบอกใส่หม้อสนามทั้งสี่ใบช้าๆ ก่อนจะร้องบอกสิงห์ขึ้นมาอีกว่า

“เอ็งตื่นมาก็ดีแล้ว ช่วยก่อไฟให้ข้าหน่อย”

“ไม่รู้ไฟในกองมันมอดหมดรึยัง”พรานโส่ยบอก

“ได้ลุง ไม่ต้องดูให้เสียเวลาหรอก”

“มีแต่ขี้เถ้า ก่อใหม่ไวกว่า”สิงห์ร้องตอบ พลางเดินไปหาหักกิ่งไม้แห้งเตรียมทำเชื้อไฟ ถึงจะอยู่กลางป่าไม้เช่นนี้ แต่ไม้แห้งที่จะทำเชื้อก็ไม่ได้หาง่ายนัก เพราะเกือบทุกตารางนิ้วถูกประพรมไปด้วยน้ำค้างที่ชื้นแฉะ กว่าจะเลือกเก็บเชื้อฟืนได้ ก็เสียเวลาไปหลายนาที

          เชื้อฟืนไม่ทันจะถูกก่อ เสียงพูดคุยกันพึมพำ ก็แว่วมาให้ได้ยินมาจากแนวป่า ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะคำตอบเดินแบกท่อนฟืนกันมาเป็นทิวแถว เจ้าพุ่มเดินนำอยู่หัวขบวน ซึ่งที่ไหล่ซ้ายมีท่อนฟืนขนาดเท่าแขนอยู่หอบใหญ่ ที่แบกคู่กันมากับเจ้าเคิ้งที่คอยแบกประคองอยู่ด้านหลัง ส่วนท้ายขบวน ไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจาก เพื่อนเกลอของสิ่ง แต่ดูจะสบายกว่าเขาเพื่อนเพราะไม่ได้แบกอะไรมาเลย นอกจากมีดที่ถือแกว่งไปมาในมือ

“พี่สิงห์ ตื่นแล้วดีเลย”

“ผมกับไอ้เคิ้งว่าจะชวนพี่ไปนั่งอ้นสักหน่อย”พุ่มร้องทัก ก่อนที่ทิ้งฟืนแห้งที่แบกมาดังโครม

“แถวไหนล่ะ”

“เดี๋ยวก่อไฟให้พ่อเอ็งเสร็จก่อน”สิงห์ร้องบอก พลางจุดไฟ ในกองเศษกิ่งไม้เล็กๆที่กองสุมไว้ทำเชื้อ ไม่กี่อึดใจเปลวไฟก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไกลหรอกพี่ แถวๆดงไผ่ที่เห็นอยู่โน่น”

“ขุยยังใหม่ๆอยู่เลย ท่าทางจะตัวใหญ่”เจ้าเคิ้งสาธยาย

“เออดี กำลังอยากเห็น”

“ว่าพวกเอ็งเอามันขึ้นมายังไง โดยไม่ต้องขุด”สิงห์เสวนาตอบ

“เอาปืนพี่ไปด้วยนะ”

“เช้าๆแบบนี้แก๊ปผมมันชื้น กลัวยิงไม่ออก”พุ่มร้องบอก พร้อมกับใช้เท้ากระทื บฟืนแห้งให้หักเป็นท่อนๆ ก่อนที่จะวางสุมบนเชื้อไฟที่สิงห์จุดเอาไว้ จริงอย่างที่เจ้าพุ่มว่ามา ความชื้นของอากาศทำให้ประสิทธิภาพของแก๊ปที่เป็นตัวจุดชนวนของปืนแก๊ป มีความเสื่อมสภาพลง บ่อยครั้งที่เหนี่ยวไกไปแล้วปืนไม่ลั่น จึงทำให้เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย อย่าว่าแต่ปืนแก๊ปเลย ปืนที่ทันสมัย บางครั้งความชื้นก็เป็นอุปสรรคสำคัญเช่นกัน

          หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน ด้วยน้ำในกระบอกอย่างประหยัดจนดูสดชื่น ที่จริงจะเรียกว่าล้างก็ไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าเช็ดถึงจะถูก เพราะน้ำมีน้อยต้องประหยัด สิงห์จึงต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาแทน ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยมเหมือนล้างหน้าในลำห้วย แต่ก็ยังดีกว่ายังไม่ได้ล้าง ไม่เหมือนเพื่อนเกลอของเขาที่ตื่นมายังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันก็ออกไปโน่นไปนี้แล้ว บางทีขี้ตากรังอยู่เลย

          กองไฟถูกจุดโหมจนติดดีแล้ว หม้อสนามทั้งสี่ใบจึงถูกขึ้นแขวนไว้กับราวเตรียมหุง เมื่อไม่มีอะไรที่จะต้องช่วยพรานเฒ่าอีก ส่วนเรื่องกับข้าวกับปลา พรานเฒ่าจะจัดการเองไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้งต่างเตรียมตัวออกไปล่าตัวอ้น ที่ตัวเองเจอขุยหรือรูที่อยู่ของมันไว้ รวมทั้งสิงห์ก็เตรียมตัวออกไปกับเด็กทั้งสองเช่นกัน ตอนนี้เองที่ปืนลูกกรด หรือ .22 ของตัวเองที่แบกมา ก็ได้ใช้งานเสียที แต่ก่อนจะเตรียมนำไปใช้งาน ก็ต้องเช็ดน้ำค้างที่เกาะฉ่ำตามตัวปืนออกให้หมด ไม่ใช่ว่าจะเป็นแต่ของเขาเพียงกระบอกเดียว ปืนผาหน้าไม้ของแต่ละคนก็เปียกปอนไปด้วยน้ำค้างเช่นกัน

“ขอข้าไปด้วย”เหน๋อร้องบอก เมื่อเห็นสิงห์และเด็กทั้งสองเตรียมตัวออกไปล่าตัวอ้น เหมือนเป็นเรื่องสนุกจึงร้องขอติดตามไปด้วย แต่ก็ต้องทำหน้าเศร้าเพราะเพื่อนเกลอสุดที่รักร้องห้าม

“เอ็งอยู่ช่วยลุงโส่ยทำกับข้าวดีกว่า”

“ไปให้เกะกะเปล่าๆ”สิงห์ร้องขัด แต่เมื่อเห็นเพื่อนเกลอทำหน้างอ จึงพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า

“ฝีมือข้า ทำกับข้าวสู้เอ็งไม่ได้วะ”

“เอ็งอยู่ทำกับข้าวรอดีกว่า”เจอลูกยอเข้าไปแบบนี้ คนที่กำลังตีหน้าเศร้าอยู่ ก็ทำหน้าระรื่นขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่วายค้อนให้ทีหนึ่ง ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเตรียมรื้อหาเสบียงในกระสอบถุงปุ๋ย

        โดยการนำของเจ้าพุ่ม ที่พาเดินลัดเลาะมาตามชายเขา ซึ่งตลอดทั้งสองข้างทางอุดมไปด้วยกอไผ่ขนาดใหญ่ที่ขึ้นเบียดกันหนาแน่น หลังจากหยุดก้มๆเงยๆอยู่อึดใจ เหมือนจะหยุดใช้ความคิดอะไรบางอย่าง กะเหรี่ยงหนุ่มก็พาออกเดินนำไปต่อ การเดินทางไม่ยากลำบากเท่าใดนัก เพราะป่ามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นแซมบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ของป่าที่ขึ้นอยู่บนเนินเขา โดยเฉพาะต้นไผ่จะมีมากกว่าต้นไม้ชนิดอื่นๆ

          ไผ่ เป็นไม้ที่ให้คุณประโยชน์มากมาย เกือบจะทุกส่วนของมันสามารถทำประโยชน์ได้หลากหลาย นับตั้งแต่ใบ และกาบที่ห่ออยู่บริเวณลำต้น ชาวบ้าน บ้านป่าหลายพื้นที่ นิยมกาบไผ่และใบไผ่ขนาดใหญ่ นำมาใช้ห่อสิ่งของต่างๆ ทั้งของกินและของใช้ ลำต้นหรือกระบอก ก็สามารถนำมาสร้างบ้านต่อแพ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่นงานจักสาร ต่ำลงมาก็เป็นโคนที่มีรากรกรุงรัง คนไหนที่มีฝีมือในงานด้าน แกะสลัก ก็นำส่วนนั้นของไผ่มาแกะเป็นรูปหน้าคนบ้าง สารพัดสัตว์บ้างตามที่ตัวเองจะจินตนาการได้ ซึ่งก็เห็นมีวางขายอยู่เช่นกัน รวมไปจนถึงหน่อไม้อ่อนๆ ก็นำมาประกอบอาหารกินได้สารพัดอย่าง วิธีที่ง่ายที่สุดก็แค่โยนเข้ากองไฟเผา ใช้เวลาไม่นานก็ได้กลิ่นหอมเหมือนข้าวโพดปิ้ง หรือจะต้มทั้งเปลือกก็ไม่ผิดกติกา จะจิ้มกินกับน้ำพริก หรือจะนำไปผัดก็อร่อยทั้งนั้น ถ้าได้มาเยอะเกินจำนวนที่จะกิน ก็เอาไปใส่ไหดอง ทำหน่อไม้เปรี้ยวเก็บไว้กินได้อีกเป็นปี

        ไผ่ มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์แตกต่างกันออกไป และหลากหลายขนาด เช่น ไผ่ป่า ไผ่สีสุก ไผ่นวล ไผ่ตก ไผ่ดำ และไผ่ขนาดเล็กอย่าง ไผ่รวก นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ส่วนหนึ่งแล้ว สัตว์ป่าบางชนิดก็อาศัยไผ่ เป็นแหล่งอาหารเช่นกัน นับตั้งแต่ ไก่ป่า ไก่ฟ้า และนกกระทา ก็ชอบหาจิกกินขุยไผ่ หรือดอกไผ่ ที่ร่วงหล่นตามพื้นเป็นอาหาร ไปจนถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ อย่างเช่น หมูป่า หมี วัวแดง กระทิง ไปจนถึงสัตว์ขนาดใหญ่อย่าง ช้าง หน่อไม้ก็เป็นอาหารอันโอชะของพวกมัน

          นอกจากหน่อไม้ที่แทงพ้นผิวดินขึ้นมาจะเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์แล้ว ลึกลงไปในพื้นดินใต้ก่อไผ่ ส่วนที่เป็นหน่อและรากอ่อนๆนั้น ก็ยังเป็นแหล่งอาหารของหมู่แมลงและสัตว์จำพวก ตัวตุ่น และตัวอ้น ที่ชอบขุดรูทำรังอยู่ใกล้ก่อไผ่ ในระดับพื้นที่ ที่ต่ำกว่า ตุ่น จะชอบขุดรูเป็นขุยกระจัดกระจาย โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นที่ราบ ป่าโปร่ง หรือชายไร่ติดแนวป่า ตุ่น จะชอบเป็นพิเศษ ซึ่งตลอดชีวิตของมันแทบไม่มีโอกาสออกมาหากินบนผิวดินเลย จะมีก็บางเหตุการณ์และบางโอกาสที่จะขยับขยาย หรือเปลี่ยนแหล่งอาศัยและที่อยู่ใหม่เท่านั้น เพราะเหตุที่จะต้องอยู่แต่ในความมืดมิดใต้พื้นดิน วิวัฒนาการทำให้ดวงตาของมันแทบไม่มีความหมาย สังเกตได้จากขนาดของดวงตาที่เล็กหยี่จนมองไม่เห็นนั้นเอง แต่ธรรมชาติก็แต่งแต้มให้ส่วนอื่นที่ใช้แทนดวงตาของมันได้ก็คือ ประสาทสัมผัสทางกลิ่น และการรับรู้ความสั่นสะเทือน ที่ได้รับจากหนวดของมัน

        นอกจากตัวตุ่น ที่อาศัยอยู่ใต้ดินแล้ว อ้น ก็เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่ง ที่ชอบทำรังและหากินใต้ดินเช่นกัน จะมีบางครั้งและบางโอกาสเท่านั้นที่พวกมัน จะโผล่ออกมาหากินบนผิวดิน แตกต่างไปจากตุ่น ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน ความแตกต่างระหว่าง อ้น และ ตุ่น  สามรถมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ขนาดตัวของมัน ตุ่น จะมีขนาดที่เล็กกว่าอ้นมากหลายเท่าตัว ถ้าจะวัดรูปร่างหน้าตา ตุ่น จะดูขี้ริ้วกว่าอ้น หรือจะว่าหน้าตาน่าเกลียดกว่าอ้นก็ว่าได้ นอกจากขนาดและรูปร่างที่ต่างกันมากแล้ว ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้งสองชนิด ก็มีความแตกต่างเช่นกัน อ้น ชอบขุดรูทำรังตามที่สูง เช่น เนินเขา หรือตำแหน่งที่เป็นเชิงเขาชัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีก่อไผ่ขึ้นปกคลุม อ้น จะชอบขุดรูทำรังอยู่ใกล้กอไผ่ เพราะรากและหน่อไผ่เป็นแหล่งอาหารของมัน  ส่วนรังของ อ้น และ ตุ่น จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกัน ก็ตรงที่ขนาด ตุ่น ทำขุยดินเล็กกว่า อ้น เพราะ ตุ่น มีขนาดตัวเล็กกว่า ขุยดินที่กองเป็นพูนสูงขึ้นมาบนผิวดิน ระหว่างอ้น และ ตุ่น จะแตกต่างกันมาก

          หลังจากทั้งหมดเดินไต่ไปตามเนินไม่นาน ตำแหน่งหรือเป้าหมายของพรานกะเหรี่ยงที่หมายตาไว้ ก็เห็นอยู่ไม่ไกลนัก ห่างออกไปสิบกว่าว่า บริเวณเนินชันนั้นเอง ที่มีก่อไผ่ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมครึ้ม ใต้ก่อไผ่ที่มีผิวดินเป็นพื้นลาดเอียง ตำแหน่งนี้เอง ที่เป็น ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ดิน หลังจากเพ่งสายตาอยู่นานก็พอจะมองเห็น เพราะครั้งแรกที่เห็นอยู่ไกลๆ คิดว่าจอมปลวก ที่ขึ้นแทรกข้างกอไผ่ แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ก็พอจะแยกแยะอะไรออก เพราะสิ่งที่เห็นไม่ใช่จอมปลวกอย่างที่เข้าใจ แต่มันเป็นกองดินขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นพูนดินร่วนซุยสูงขึ้นมา คล้ายๆเหมือนใครตักดินมากองไว้กองใหญ่ ซึ่งมันแตกต่างไปจากผิวดินหรือพื้นดินรอบข้าง เพราะลักษณะพูนดินมีความชื้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่ามันเพิ่งจะผุดขึ้นมาใหม่ๆไม่นานมานี้เอง

“เบาๆนะพี่สิงห์ อย่าทำเสียงดัง”

“ตรงโคนไผ่โน่น นั่งไงรูอ้น พี่เห็นมั๊ย?”เจ้าพุ่มพูดเสียงกระซิบ พลางชี้มือไปที่ขุยอ้นที่เห็นเป็นพูนดินแดงเถือก

“เออๆ เห็นแล้ว”

“แล้วทำยังไงต่อ ใช้มีดขุดรึ?”สิงห์กระซิบถาม

“ครึ่งวันจะได้กินหรือเปล่าพี่ จอบก็ไม่มี”

“ขืนใช้มีดอย่างที่ว่า วันนี้ก็คงไม่ได้กิน”เจ้าเคิ้งกระซิบตอบ พลางใช้มือปิดปากหัวเราะ กึกกัก อยู่ในลำคอ

“ไอ้ห่ า ก็พี่ไม่รู้นี้หว่า”

“เอา! ทำยังไงก็รีบทำ เดี๋ยวสายกันพอดี”สิงห์กระซิบ พลางทำหน้าขึงขัง เจ้าเคิ้งรีบขยับหนี เพราะหน้าแข้งของสิงห์ทำท่าจะง้างออก

“ไอ้เคิ้ง เอ็งรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”

“เดี๋ยวข้าไปหาตัดไม้ก่อน”พุ่มกระซิบบอกเพื่อนเกลอ พลางชักมีดเหน็บออกจากฝักข้างเอว เดินตรงดิ่งไปที่ลำไผ่ลำหนึ่งที่ขึ้นอยู่ไม้ห่างนั้น เจ้าพุ่มเลือกลำไผ่ขนาดเล็ก ใหญ่ไม่เกินนิ้วหัวแม่มือได้ลำหนึ่ง เพราะความคมของมีด เงื้อมือฟันฉับเดียว ลำไผ่ขนาดเล็กลำนั้นก็ขาดทันที

        เมื่อได้ลำไผ่ที่ต้องการแล้ว เจ้าพุ่มก็ตัดส่วนปลายที่ไม่ต้องการออก รวมความยาวแล้ว ยาวไม่เกินช่วงแขน ส่วนด้านโคนที่ถูกตัดเฉียงอยู่แล้วไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม แต่ส่วนปลายเจ้าพุ่มบรรจงใช้มีด ขวั้น เป็นวง รอบๆปลายไม้นั้นสามถึงสี่วง

“เอาไปแหย่รูมันรึ?”สิงห์กระซิบถามด้วยความสงสัย

“ครับพี่”

“ไม้นี้ ผมทำไว้ล่อมันให้ออกมาจากรู”เจ้าพุ่มตอบเสียงกระซิบ พลางยิ้มจนเห็นฟัน

“แล้วเอ็งขวั้นตรงปลายไว้ทำไม”

“ยังกะเอาไว้พันเชือกเบ็ด”สิงห์พูด พลางดึงไม้ไผ่ที่พุ่มทำไว้ขึ้นมาดูตรงส่วนปลาย

“ไม่ใช่หรอกพี่”

“ตรงนี้แหละสำคัญ เดี๋ยวพี่คอยดูผมกับไอ้เคิ้งให้ดีๆล่ะกัน”พุ่มพูดจบ ก็ดึงไม้ที่สิงห์ถือคืนกลับมา จากนั้นก็พยักหน้าให้เจ้าเคิ้งตามไปด้วย แต่ก่อนที่เจ้าเคิ้งจะเดินตามพุ่มไปก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า

“พี่สิงห์ ผมขอยืมปืนพี่หน่อย”

“พี่ตามพวกผมมาดูใกล้ๆก็ได้นะ”เคิ้งร้องบอกเสียงกระซิบ

“เอาซิ”

“แล้วพี่ต้องทำยังไงบ้าง”สิงห์ตอบ พลางส่งปืนคู่กายให้กะเหรี่ยงหนุ่ม

“ไม่ต้องทำอะไรพี่ ดูอย่างเดียว ผมสองคนจะจัดการเอง”

“ที่สำคัญ อย่าทำเสียงดังก็แล้วกัน”เจ้าเคิ้งหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม

          บริเวณที่เป็นขุยดิน แลเห็นเป็นพูนสูง กะเหรี่ยงหนุ่มที่มีนามว่าพุ่ม ค่อยๆใช้ไม้ไผ่ที่จัดเตรียมมา กดแทงไปตามเนินดินและขุยดินนั้น ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆทั้งสิ้น หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของแต่ละคน เพียงไม่นานหลังจากออกแรงกดผิวดินนั้นอยู่ชั่วครู่ ไม้ไผ่ด้านที่มีส่วนปลายแหลมเฉียงนั้น ก็มีอาการเหมือนจะผลุบจมมิดลงไป ราวกับว่าใต้พื้นผิวดินนั้น จะเป็นโพรงหรือรูอะไรสักอย่างที่มีลักษณะกรวง ใช่แล้วมันเป็นโพรงหรือรูอ้นที่ขุดไว้นั้นเอง

          เมื่อรู้ตำแหน่งของรูหรือโพรงใต้ดินนั้นแล้ว เจ้าพุ่มก็ค่อยๆใช้ไม้อันเดิม คุ้ยเปิดปากโพรงนั้นให้กว้างขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งขนาดของมันกว้างเท่ากับโพรงดินภายใน จากนั้นก็เบี่ยงตัวเองไปยืนอยู่ด้านข้างของปากโพรงนั้น จากนั้นก็บุ้ยปากเรียกเจ้าเคิ้งให้มานั่งเล็งปืนอยู่ด้านข้างปากโพรงนั้นอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อได้ตำแหน่งที่มั่นเหมาะดีแล้ว ช่วงเวลาที่สิงห์เฝ้ารอคอยก็มาถึง เมื่อเจ้าพุ่มค่อยๆใช้ไม้ไผ่อันเดิม ปักลงไปข้างปากโพรงนั้น จนส่วนปลายที่มีความแหลมคมอยู่แล้วจมมิดลงไป จากนั้นก็ค่อยๆใช้ปลายเล็บหัวแม่มือ ขูดไปตามร่องของปลายไม้ไผ่ ที่ตัวเองใช้มีดขวั้นไว้ ในลักษณะขึ้นลงช้าๆ เป็นจังหวะ ดัง แกรกๆ ฟังไปแล้วมันก็ไม่ต่างไปจาก หนู หรือ สัตว์จำพวกฟันแทะ ที่มาแทะไม้อันนั้นนั่นเอง เจ้าพุ่งบรรจงขุดเป็นจังหวะเช่นนั้น ช้าบ้าง เร็วบ้าง สลับกันไป ถ้าสิงห์ไม่เห็นในสิ่งที่เจ้าพุ่มทำอยู่นี้ ลำพังแค่ได้ยินแต่เสียง ก็คิดว่ามี หนู หรือตัวอะไรมาแทะไม้เล่นอยู่แถวนี้ ไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกคนก็ได้ยินเสียง กรุบกรับ ในโพรงนั้นแว่วมาให้ได้ยิน จากนั้นเจ้าเคิ้งก็ทำปากบุ้ยใบ้ให้สิงห์มองไปที่ปากโพรงนั้น....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร แล้วตัวอ้นที่สองกะเหรี่ยง พาสิงห์ไปล่า จะได้หรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงในบทต่อไป*****

ผิดพลาด หรือตกหล่น ประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
ภาพที่ 2
ตัวอ้น

ขอขอบคุณเวปที่มาของภาพครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
ภาพที่ 3
ตัวตุ่น

ขอขอคุณเวปที่มาของภาพครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
ภาพที่ 4
ดูกันถนัดๆนะครับ ว่าน้าๆ พอจะแยกแยะออกหรือเปล่า

ขอขอบคุณเวปที่มาของภาพ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
ภาพที่ 5
รูปนานมาแล้ว ระหว่างทางไปห้วยแห้ง น้าเบ กำลังแหย่รูอ้นครับ แต่ไม่ได้ตัว เพราะรูมันร้างไปแล้ว
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024