สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 3 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 9 - [6 ก.ย. 55, 12:27] ดู: 3,333 - [2 พ.ค. 67, 02:17] โหวต: 6
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
22 ธ.ค. 54, 08:16
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4
ภาพที่ 1
บทที่ 9

ตอนที่ 4     

          เมื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรานแปะ ถึงเรื่องราวต่างๆ ก็พอจะจับต้นชนปลายได้ว่า ช่วงที่แกแยกตัวออกมาหาเก็บผักเก็บหญ้านั้น บังเอิญพรานแปะเกิดปวดท้องขึ้นมากะทันหัน เมื่อสอดส่องสายตาได้ ก็พบทำเลทองของตำแหน่งที่จะปลดทุกข์ ซึ่งบริเวณที่ว่านั้นก็คือ หลังจอมปลวกใหญ่ที่มีต้นข่อยขึ้นปกคลุมครึ้มอยู่เบื้องหน้า เมื่อเห็นสถานที่เหมาะก็ไม่รีรอ รีบเดินดิ่งไปที่หมายตาไว้โดยไม่ทันสังเกตหรือระวังตัวอะไรทั้งสิ้น เพราะอาการปวดท้องก็ชักจะส่อแววหนังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรีบร้อนและอาการปวดท้องนั้นเอง ทำให้พรานแปะไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าหมีควายตัวนั้น ซึ่งไอ้หมียักษ์ตัวนั้นก็ไม่ได้สำเหนียกอะไรเลยเช่นกัน ประมาณว่าต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มๆมาที่จอมปลวกแห่งนั้น ซึ่งมันจะมาปลดทุกข์เหมือนพรานแปะด้วยหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ พอพ้นเหลียมของจอมปลวกก็จ๊ะเอ๋กันเต็มที่ ต่างฝ่ายต่างตกใจ พากันแหกปากร้องลั่นกันทั้งคู่ พรานแปะก็ใส่เกียร์ถอยเหยียบคันเร่งเต็มเหนี่ยว วิ่งอ้าวจนฝุ่นตลบ ไอ้หมีง่อยตัวนั้นก็ไม่น้อยหน้ามันก็ใส่เกียร์สโลล์ขับหน้าเต็มกำลัง ไต่จอมปลวกขึ้นไปขดตัวกลมอยู่บนนั้น จะปีนหนีขึ้นไปบนซุ้มข่อยก็ทำไม่ได้เพราะขนาดตัวของมันใหญ่เกินไปที่จะแทรกตัวเข้าไปซุกแอบ ครั้นจะไต่ลงมาแล้ววิ่งหนีเข้ารกเข้าพงไปก็ไม่ทัน เพราะหมาสองตัวก็ไล่เห่าไล่กัดอยู่แบบนั้น จึงทำให้หนีไปไหนไม่ได้ มันเลยต้องเกาะแหงกอยู่บนปลายจอมปลวกอยู่เช่นนั้น

“ก๊าก...”

“บุญของเอ็งแล้ว ที่เป็นไอ้ง่อย ฮ่าๆ”พรานเฒ่าหัวเราะลั่น จนข้าวที่อยู่ในปากแทบกระเดนออกมา

“ขี้หดตดหายหมด”

“คิดแล้วยังแค้นไม่หาย ครั้งหน้าถ้าเจออีกพ่อจะไล่เตะให้ถนัด”พรานแปะพูดจบ ก็ตักข้าวเข้าปากคำใหญ่

“ดีแล้วที่ไม่เจอมันตอนที่พี่กำลังปลดทุกข์”

“นึกภาพไม่ออก ว่าพี่จะวิ่งมาในสภาพไหน ฮ่าๆ”สิงห์พุดพลางหัวเราะ ขณะกำลังฉีกเนื้อเก้งย่างกิน จากนั้นก็พูดต่อขึ้นมาอีกว่า

“แต่ก็น่าแปลกนะ ที่มันมาหากินไกลขนาดนี้ หรือปกติมันหากินไปทั่ว บนนี้ออกจะแล้ง”สิงห์พูดขณะเคี้ยวเนื้อเก้งย่าง

“มันหากินไปทั่วอย่างที่เอ็งว่านั้นล่ะ”

“คนแถวนี้รู้จักมันดี เห็นมันบ่อย วันดีคืนดีก็ไปหากินยันชายไร่”พรานพรร้องเสริม

“โธ่พี่! อย่าว่าแต่ชายไร่เลย หลังครัวบ้านผมมันก็ยังเคยดอดมาลักของกิน”เจ้าพุ่มร้องบอก

“คงไม่มีใครทำอะไรมันมั๊ง ถึงไม่ค่อยกลัวคน ทำไปทำมาจะเชื่องเสียอีก”พรานเบเสวนาตอบ

“ยิ่งช่วงเดือนสี่เดือนห้าไม่ต้องพูดถึง”

“ช่วงที่ผมตีผึ้งกัน มันล่ะตัวดีเลย”

“ชอบแอบมาขโมยกินรังผึ้งหมด”เจ้าเคิ้งฟ้องบ้าง

“อ้าวมันปีนต้นไม้สูงๆแบบนั้นไหวรึ ขาแข้งก็ไม่ดี?”ชายหนุ่มสงสัย

“ไอ้ห่ านี่มันแสบจะตาย แถมฉลาดแกมโกงอีกต่างหาก”

“จะยากอะไร มันก็รอกินอยู่ข้างล่างนั้นแหละ”พรานโส่ยเจียระไนสรรพคุณ

“พอตัดลงผึ้งตกลงมา มันก็ดอดเอาไปกินแล้ว”เจ้าเคิ้งร้องเสริม

“เดี๋ยวนี้ถ้าจะออกไปเก็บน้ำผึ้ง ต้องไปกันหลายๆคน”

“ถ้าเผลอเป็นเสร็จมันหมด”เจ้าพุ่มเอาบ้าง

“เอานา แบ่งๆกันกิน สงสารมัน พิกลพิการแบบนั้น ใครจะไปปีนกินเองไหว”สิงห์ร้องบอก

          ถึงสิงห์จะไม่บอกออกมาแบบนั้น ชาวบ้านแถบนี้ก็ไม่ได้ใจจืดใจดำ เพราะทุกครั้งที่ออกหาน้ำผึ้ง ก็จะแบ่งรังผึ้งที่มีตัวอ่อนและตัวแก่ใกล้ออกจากรังให้มันกินส่วนหนึ่ง ที่ต้องเตรียมคนไปเฝ้าเยอะๆก็เพราะความตระกระตะกรามของมัน ที่ค่อยจะจ้องกินส่วนรังอ่อนหรือส่วนหัวของรังผึ้งที่มีน้ำผึ้งติดอยู่ เพราะมันชอบกินส่วนนั้นเป็นพิเศษ ดังนั้นพอรังผึ้งทั้งรังตกลงมา มันก็จะเลือกกินส่วนนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าดูหรือไล่ไม่ทัน มันก็จะเลือกกินเฉพาะส่วนนั้นจนรังแหว่งไปหมด พอรังใหม่ตกลงมาอีก ก็เป็นแบบนั้นอีก หนักเข้าจึงต้องมีคนคอยเฝ้า แต่ถึงจะไม่มีไอ้ง่อยมาคอยดอดกิน หมีปกติทั่วๆไปก็กิน ถ้าคิดในแง่ดี พวกหมีเหล่านั้นก็เป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดี ว่าต้นไม้ที่ผึ้งอาศัยอยู่นั้น ได้เวลาที่จะเก็บเกี่ยวแล้วหรือยัง เพราะมันจะรู้โดยสัญชาตญาณของมันเองว่า รังไหนมีน้ำผึ้งใกล้กินได้แล้ว รังไหนยังอ่อนน้ำผึ้งยังน้อย บางครั้งชาวบ้านก็ต้องพึ่งพาอาศัยพวกมันเป็นตัวบอกเช่นกัน โดยการสังเกตบริเวณลำต้นของต้นไม้ ถ้ามีรอยหมีปีน แสดงว่าน้ำผึ้งบนนั้นใช้ได้แล้ว  แต่ส่วนใหญ่จะมาไม่ทันหมี เพราะถ้ามันขึ้นไปแล้วจะนอนกินอยู่บนนั้นจนรังผึ้งเหี้ ยนหมด เหลือแต่รังที่อยู่ปลายๆกิ่ง ที่มันไม่สามารถไต่ไปกินได้ บางทีชาวบ้านก็ต้องลงทุนแบกแผนสังกะสีนำไปหุ้มรอบๆโคนต้นไม้กันพวกมันปีนขึ้นไปขโมยกิน แต่แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ต่างหาก ที่ไปฝ่ายขโมยแหล่งอาหารของพวกมัน

          อาหารมื้อเที่ยงจบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากจัดเก็บสำภาระ และสถานที่จนเสร็จสรรพ พรานเบก็พาทั้งคณะออกเดินทางต่ออีกครั้ง ตอนนี้เข็มนาฬิกาข้อมือของสิงห์ ชี้บอกเวลาที่ สิบสามนาฬิกา สิบหกนาที ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์แผดความร้อนข้อนศีรษะออกไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย แสงแดดแรงกล้าและร้อนระอุ จนใบไม้ที่อยู่ตามพื้นดินแห้งกรอบ ผิดกับช่วงเช้าที่เต็มไปด้วยละอองหมอกหนาทึบ จนทั่วทั้งบริเวณมีสภาพชื้นแฉะ แต่ ณ เวลานี้ มันได้กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ความชื้อและชุ่มฉ่ำ มันได้เหือดหายไปหมดสิ้น หยดน้ำค้างตามยอดหญ้ากลับกลายมาเป็น หยดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าและร่างกายของชายทั้งแปดจนดูชุ่มโชคไปหมด

          แสงแดดร้อนระอุ จนพื้นดินแห้งผากเป็นฝุ่นผง เมื่อมีลมพัดผ่าน ก็หอบเอาเศษใบไม้และฝุ่นดิน ตีตลบลอยขึ้นไปบนอากาศจนดูฟุ้งกระจายไปหมด อากาศที่ร้อนจัด ราวกับตัวเองได้เข้าไปอยู่ในตะแกรงย่าง จนรู้สึกแสบตามผิวหนังไปหมด ถึงแม้จะมีลมพัดผ่านมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย รวมถึงความทุลักกันดาล ของสภาพพื้นที่ ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทั้งคณะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงกระนั้น พรานนำทางยังคงพาทั้งคณะ เดินฝ่าออกไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“โน่น ที่เห็นชายป่าลิบๆ อยู่นั่น”

“เลยดงนั้นเข้าไป ก็ถึงชายป่าดำแล้ว”พรานเบชี้บอกคณะ ขณะยืนพักอยู่บริเวณร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“ดูท่าทางน่าจะรกอยู่”

“แถวนั้นคงพอจะหาน้ำกินน้ำใช้ได้อยู่ล่ะมั๊ง?”พรานพร พูดพลางใช้มือป้องตาดูไปทางที่หมาย

“คงจะมีอยู่หรอก ป่าก็ดูรกเขียวขนาดนั้น น่าจะมีห้วยไหลผ่าน”สิงห์เสวนาตอบ

“จากนี่ไปก็เดินกันไม่ต่ำกว่าชั่วโมง กว่าจะถึงชายดงนั่น”สิงห์ว่า พลางยกนาฬิกาขึ้นดู

“ถ้าแดดมันร่มๆกว่านี้ก็น่าเดิน”

“เสียอย่างเดียวร้อนไปหน่อย ร่มไม้ก็ไม่ค่อยมี มีแต่ทุ่ง”พรานโส่ยว่าตอบ ซึ่งจากภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า มันก็เป็นจริงอย่างที่พรานโส่ยว่ามา คือ ทั่วทั้งบริเวณที่เห็นนั้น นอกจากจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เลยแล้ว ทั่งทั้งพื้นที่ยังอุดมไปด้วยไม้พุ่มเตี้ยๆ ต่างๆขึ้นอยู่ปกคลุมอยู่ทั่ว ทั้งพุ่มสาบเสือ เล็บเหยี่ยว และหญ้าคา

“บนนี้มันแล้งขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าหมูโทน ที่น้าเบตามมา มันจะผ่านดงนี้ไปได้”สิงห์ร้องบอกด้วยความสงสัย หลังจากนึกถึงหมูโทนครั้นที่พรานเบเคยออกไล่ล่า

“ช่วงที่ข้าออกตาม มันไม่แล้งขนาดนี้”

“ทุ่งข้างหน้ายังดูเขียวกว่านี้แยะ”พรานเบตอบ

“ถ้าตอนนั้นแล้งแบบนี้ คงไม่ต้องออกแรงตามให้เหนื่อย”

“อย่างเก่งก็ไปได้แค่กลางทุ่ง”พรานเบพูดจบก็ยกน้ำในกระบอกไม้ไผ่ขึ้นจิบดับกระหาย

“แต่ครั้งนั้นข้าไม่ได้มาทางนี้”ประโยคหลังทำให้ทุกคนที่ได้ยินแทบจะร้องออกมาพร้อมๆกัน

“อ้าว!”

“แล้วทำไม่เอ็งไม่พอไปทางเดิมวะ”พรานชราร้องเสียงสูง

“ก็ทางเดิมพ่อแกเดินกันให้เถือกไม่เห็นรอยรึ”พรานนำทางหมายถึงช้างโขลง

“ขืนไปมีหวังเจอกันแน่ๆ เดี๋ยวได้วิ่งกันตับแลบกันพอดี”

“ถึงทางที่ข้ามามันจะดูอ้อมไปหน่อย แต่มันก็ดีกว่าไปเจอพวกมันกลางทาง”พรานเบพูด พลางทอดสายตาไปที่ชายป่าฝั่งขวามือ

“ที่จริง ถ้าไม่เจอช้างโขลงนั้น ข้าก็จะพาพวกเอ็งเดินไปทางชายดงนั่น เดินไปตามชายดง ไม่ร้อนแล้งแบบนี้หรอก”พรานเบพูดจบ ก็ชี้มือไปที่ชายป่าฝั่งขวามือ

“แต่นี่ เอ็งก็รู้ว่าเราเจออะไร ข้าเลยต้องพาพวกเอ็งเดินลัดมาเส้นนี้แทนไงล่ะ”

“ไอ้ห่ าเอ๊ย แบบนี้ได้เดินกันหัวแดงกันพอดี”พรานพรร้องอย่างหัวเสีย

“เอาไงดีน้าเบ จะเดินฝ่าไปเลย หรือว่าจะรอให้เย็นกว่านี้ก่อน”

“ร่มก็ไม่มีให้หลบ นี่ก็จะบ่ายสามแล้ว”สิงห์ร้องถาม

“ทนกัดฟันเดินกันหน่อยก็น่าจะไหว”

“อย่าไปรอให้เสียเวลาเปล่าๆ”พรานโส่ยพูดจบก็บ้วนน้ำหมากลงพื้นจนแดงเถือก

“ถ้าออกเย็นอย่างที่เอ็งว่ามันก็ดี ไม่ร้อน”

“แต่ถ้าไปถึงโน่นมืดค่ำมันจะลำบากอยู่นา”ชายชรากล่าวจบ ก็ยกปลายผ้าขาวม้าปาดเช็ดน้ำหมาก

“ผมยังไงก็ได้ลุง”

“เอาเป็นว่า ให้น้าเบแกตัดสินใจดีกว่า”

“ไหนๆน้าเบแกก็เคยผ่านแถวนี้มาก่อน น่าจะรู้ดีกว่าคนอื่น”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางหันไปร้องบอกพรานนำทาง

“เดี๋ยวพักตรงนี้ให้หายเหนื่อยกันก่อน”

“สักบ่ายสาม ค่อยไปกันต่อ กว่าจะถึงฟากโน่นก็น่าจะเย็นพอดี”พรานนำทางที่มานามว่าพรานเบ หันมาร้องบอกคณะ

“แล้วเอ็งคิดว่าจะถึงฟากกะโน่นก่อนมืดหรือเปล่าล่ะ”ชายชราร้องถาม

“ข้าว่ายังไงๆ พวกเราน่าถึงก่อนค่ำ อย่างเก่งก็ไม่น่าจะเกินหกโมง”

“ เออ!ต้อนนี้กี่โมงแล้วไอ้สิงห์?”ประโยคหลังพรานนำทางหันไปร้องถามชายหนุ่ม

“นี่ก็บ่ายสองสี่สิบห้าแล้ว มีเวลาพักกันอีกประมาณสิบห้านาที”สิงห์ร้องบอกหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“สิบห้านาทีก็พอถมถืด พักกินน้ำดูดยากันให้หายเหนื่อยค่อยว่ากันต่อ”พรานพรร้องตอบ พลางปลดเป้ที่สะพายหลังลงกับพื้นดังโครม ร่วมทั้งคนอื่นก็พากันกระจัดกระจายแยกย่ายออกไปหาร่มเงานั่งพักผ่อน บางคนก็นั่งสูบยาเส้นตามหมู่หินใต้ร่มไม้ บ้างก็ล้วงย่ามงัดหมากออกมาม้วนเคี้ยวเล่น ดื่มน้ำบ้าง พักเอนหลังนอนกับโคนไม้บ้าง โดยเฉพาะเจ้าเหน๋อ ผู้ซึ่งไม่วิตกถึงสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ก็สามารถนอนหลับได้ ระยะเวลาที่พรานพรยังสูบยาไม่ถึงครึ่งมวน เจ้าเหน๋อก็หลับอ้าปากหว๋อเสียแล้ว ทำให้พรานแปะที่นั่งอยู่ใกล้ถึงกับรู้สึกหมั่นไส้อย่างไรบอกไม่ถูก เพราะพี่แกค่อยๆหยอดน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ใส่ในปากของเจ้าเหน๋อที่หลับไม่รู้เรื่องอย่างบรรจงที่สุด ผลที่ได้คือเจ้าเหน๋อสำลักน้ำตื้นขึ้นมาหูตาเหลือก เล่นเอาทั้งคณะหัวเราะชอบใจกันเป็นที่ครึกครื้น ทำให้บรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว ดูผ่อนคลายลงไปได้...

*****นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ การเดินทางผ่านทุ่งแห่งนี้จะเป็นเช่นไร คณะเดินทางจะพบกับอะไร ไม่อาจทราบได้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป*****

ผิดพลาด ตกหล่นประการใด ผม หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4
ภาพที่ 2
พรานแปะ กำลังตีลูกทอย บนต้นผึ้ง
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4
ภาพที่ 3
อุปกรณ์ที่มีติดตัวไป ก็มี
1.ย่าม ซึ่งภายในบรรจุ ลูกทอย
2.ไม้ตีลูกทอย
3.มีดปาดรังผึ้ง
4.เชือก
5.คบสำหรับรมควัน ทำมาจาเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า เถาวัลย์ผึ้ง
6.ไฟแช็ค
7.ถุงใส่น้ำผึ้ง ปี๊บ
และที่ขาดไม่ได้คือ ใจ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4
ภาพที่ 4
เด็กส่งเชือก สำหรับคอยส่งเชือกเพื่อสาวถังใส่น้ำผึ้งลงมา
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4
ภาพที่ 5
แต่ละลูกทอยต้องแข็งแรง เพราะถ้าพลาด หมายถึง ชีวิต
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024