สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 4 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 12 - [6 ก.ย. 55, 13:19] ดู: 3,152 - [3 พ.ค. 67, 08:47] โหวต: 7
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
31 ม.ค. 55, 09:47
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7
ภาพที่ 1
บทที่ 9

ตอนที่ 7

          บนเส้นทางสีดำ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงและเถ้าถ่าน หลังจากเปลวไฟได้เผาผลาญไปก่อนหน้า ภายใต้ม่านหมอกควันไฟที่ยังปกคลุมกระจายฟุ้ง จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงแสงสีเหลืองหมากสุกเท่านั้น ที่จับอยู่ตรงเส้นขอบฟ้าอยู่ไกลๆ ที่พอจะจับจุดได้ว่า ทางนั้นคือทิศตะวันตก และมันก็อยู่ทิศตรงกันข้าม ที่คณะทั้งหมดกำลังจะมุ่งหน้าเดินทางไปยังจุดหมาย  แดดที่ร้อนจ้าเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มทุเลาลงทุกขณะ รวมทั้งไอความร้อนจากเปลวไฟ ที่เคยล้อมหน้าล้อมหลัง ก็ดูเหมือนว่าจะเบาบางลง จนทุกอย่างเกือบจะเข้าสู้ภาวะปกติ มีเพียงแต่แสงจากเปลวไฟทางด้านหลังเท่านั้น ที่พอจะมองเห็นอยู่ไกลๆ และหมอกควันไฟที่ยังลอยตัวต่ำๆ ปกคลุมพื้นที่ไปทั่วทั้งบริเวณ

          ภายใต้ม่านหมอกควัน ที่ลอยตัวอยู่นิ่ง  เงาลางๆของบุคคลทั้งแปดก็ปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเป็นลำดับ พร้อมๆกับ เงาตะคุ่มๆของสุนัขท่าทางดูปราดเปรียวทั้งสองตัว ที่คอยวิ่งแซงหน้าแซงหลังอยู่ห่างๆ บรรยากาศเริ่มขมุกขมัวเพราะดวงอาทิตย์เริ่มอัศดงลับเหลี่ยมเขา จนเวลาร่วงเลยไปหลายชั่วโมง ทั้งหมดจึงเดินทางมาถึงชายป่า แต่กว่าจะมาถึงได้สารรูปของแต่ละคนจึงดูไม่จืด เพราะล้วนแล้วแต่ขะมุกขะมอมไม่แพ้กัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แทบไม่มีตารางนิ้วไหนไม่เปรอะเปื้อน ทั้งขี้เถ้าขาวโพลน อย่างกับถูกใครเอาแป้งมาโรยบนตัว ทั้งรอยขูดขีดจากถ่านไม้สีดำตามเสื้อผ้าหน้าผมดูไม่ต่างกัน ไม่รวมถึงตามเนื้อตัวนอกร่มผ้า ที่มีแต่รอยถลอกและรอยขีดข่วนจากหนามและใบหญ้าคา จนได้เลือดซิบไปตามๆกัน

“กว่าจะมาถึง เล่นเอาเหนื่อย”

“จะพักกันตรงนี้เลยหรือเปล่าวะไอ้เบ”พรานชราร้องบอก พลางปลดกระสอบสำภาระทิ้งลงพื้นดังโครม

“แกก็ว่าไปตาโส่ย”

“หาที่มันมีน้ำมีท่าหน่อย แถวนี้มีแต่ลูกรัง ลำพังน้ำที่เราเอามาจะไปพอกินพอใช้อะไร”พรานเบร้องตอบ

“แถวนี้มันมีด้วยหรือวะน้ำ?”

“เป็นที่ดอนออกแบบนี้ คงหายาก”พรานชราร้องถาม พลางกวาดสายตามองรอบๆทิศทาง และมันก็เป็นความจริงอย่างที่พรานโส่ยบอกมาทั้งหมด เพราะบริเวณที่คณะมาหยุดยืนกันอยู่นี้ พื้นที่รอบๆล้วนแต่เป็นที่ดอน หรือลักษณะเป็นเนิน โอกาสที่จะพบแหล่งน้ำอย่างที่พรานเบบอกมาจึงยากนัก ที่จะเป็นไปได้

“เชื่อที่น้าเบแกว่าดีกว่าลุง”

“อย่างน้อยๆ น้าเบแกก็รู้เรื่องป่าแถบนี้ดีกว่าพวกเราทุกคน จริงหรือเปล่าน้าเบ”ประโยคหลัง สิงห์หันกลับไปร้องถามพรานเบ

“เดินเข้าไปอีกหน่อย ก็จะเป็นที่ลุ่มแล้ว”

“แถวนั้นมีลำห้วยเล็กๆอยู่สายหนึ่ง ข้าคิดว่าน่าจะพอมีน้ำอยู่”พรานเบตอบเสียงราบเรียบ พลางหันกลับไปมองทิศทางด้านหลังที่ได้เดินผ่านมา ทำให้คนอื่นๆหันกลับไปมองบ้าง

“บนนี้มันแล้งเหลือเกิน ไม่รู้ไฟมันจะลามไปยันไหน”

“ลำพังไหม้บนเนินนี้ก็ยังว่า ลงห้วยเมื่อไหร่ฉิ บหายกว่านี้แน่”พรานเบตอบ พูดจบก็งัดบุหรี่ยาเส้นออกมามวน

“ขออย่าให้เป็นอย่างที่น้าพูดเลย”

“แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว”สิงห์พูดจบก็เปิดกระติกน้ำยกขึ้นดื่มอึกใหญ่

“มีแต่ป่าไผ่ ข้ากลัวจะไม่หยุดแค่ตีนเนินนั้น”

“ถ้าเป็นป่าไม้ธรรมดาก็ค่อยว่างใจได้หน่อย”พรานพรร้องบอกมาอย่างหวั่นใจ

“อย่างเก่งก็ไปไม่ถึงแก่งผักกูดล่ะวะ”

“ป่าแถวนั้นมันชื้นมาก แถมแถวนั้นไม่เคยมีไฟป่าอีกต่างหาก”พรานแปะร้องบอก เหมือนจะให้กำลังใจตัวเอง ซึ่งที่จริงแล้วไม่มีใครสามารถคาดเดาเหตุการณ์ต่อจากนี้ได้เลย ไฟป่าหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไฟป่าที่เกิดจากความสะเพร่าของพวกเขานั้นเอง

          หลังจากหยุดพักและปรึกษาหาลือกันในกลุ่ม ทั้งหมดก็ลงความเห็นว่าควรจะปฏิบัติตามที่พรานเบแนะนำ คือให้เดินทางต่อไปอีกหน่อยเพื่อหาแหล่งน้ำกินน้ำใช้ ซึ่งตัวพรานเบเอง ก็มีความมั่นอกมั่นใจตัวเองมาก ว่าถ้าข้ามเนินนี้ไปอีกไม่ไกลนัก ก็จะเจอที่ลาดต่ำ และตำแหน่งนั้นเอง จะพบแหล่งน้ำ  ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไปได้อยู่ไม่น้อย เพราะทั้งแปดคนที่อยู่ในกลุ่ม ไม่มีใครคนไหนที่เคยผ่านป่า หรือรู้เส้นทางแถวนี้ได้ดีไปกว่าพรานเบ หรืออย่างน้อยๆสถานที่พักแรมในคืนนี้ ก็ควรจะสะดวกกว่าที่เป็นอยู่ถึงจะเหมาะ ครั้นจะก่อร่างสร้างแค้มป์บริเวณนี้เลย ก็เห็นจะไม่เหมาะนัก เพราะนอกจากป่าที่ดูโปร่งโล่ง จนดูไม่เหมือนป่า แถมพื้นก็ยังเต็มไปด้วยหินลูกรัง และที่สำคัญที่สุดคือ แหล่งน้ำที่จะต้องกินต้องใช้ ซึ่งล้วนแล้วเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตกลางป่า ยังไม่รวมหมอกควันไฟที่ยักปกคลุมพื้นที่จนทั่ว ขืนยังมีความคิดที่จะสร้างปางพักอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่แคล้วนอนรมควันไฟ

          บนเส้นทางสายเปลี่ยว ทุระกันดาร ที่แห้งแล้งเกินกว่าไม้เล็กจะเจริญเติบโตต่อไปได้ ที่พบเห็นอยู่มากหน่อย ก็มีแต่ไม้ที่มีลักษณะ แคระแกร็นหงิกงอไม่ได้รูป หรือไม่ ก็ยืนต้นตายพราย ก็มีให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน ราวกับป่าที่ไร้สิ่งมีชีวิต ที่จะสามารถพึ่งพาอาศัยป่าแห่งนี้ได้เลย ที่พบเห็นก็คงมีแต่รองรอยของสัตว์ป่าบางชนิดเท่านั้นที่ย่ำผ่าน แต่มันก็คงผ่านบริเวณนี้ไปนานมาแล้วเมื่อช่วงฝนที่ผ่านมา เพราะยังพอมีรอยของมันจมอยู่ในพื้นโครน ซึ่งตอนนี้แห้งแข็งราวกับหิน

          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนบริเวณป่าเริ่มโผล่เผล้ขมุกขมัวมากขึ้นทุกขณะ แต่จุดหมายปลายทางของคณะ จนแล้วจนรอดก็ไม่พบเสียที สิ่งที่พบเห็นอยู่เหมือนๆกันคือ ความแห้งเปล่าเปลี่ยว และความกันดารของพื้นที่เท่านั้น เนินแล้วเนินเล่าที่พรานนำทางพาข้ามผ่าน จนคณะผู้ติดตามต่างมีความรู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจนัก เพราะยิ่งเดินก็เหมือนจะยิ่งไร้ซึ่งจุดหมายปลายทางมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพื้นที่ ที่เคยเป็นเนิน ก็กลับเปลี่ยนมาเป็นที่ลาดต่ำลงทุกขณะ ป่าไม้ที่ดูแห้งแล้ง พอพ้นเนินนั้นไปก็เริ่มอุดมสมบูรณ์มากขึ้นทีละน้อย ผิดกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งพื้นดินก็เริ่มเป็นดินร่วนซุย ต้นไม้ต้นไร่ก็เริ่มรกเครือมากขึ้น อย่างกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

“ลงหุบนี้มาค่อยยังชั่วหน่อย”

“ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดทาง ข้าว่าคงจะเจอน้ำอย่างที่ไอ้เบมันว่า”พรานชราร้องบอกคณะ

“ก็ข้าบอกแล้วไง”

“ยังไงๆซะ ข้างล่างนี่มันต้องดีกว่าข้างบน”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ

“น้าเบว่า พวกเราจะเจอห้วยก่อนค่ำหรือเปล่า?”

“นี่มันก็ปาไปจะหกโมงเย็นแล้วนา”สิงห์ร้องถามพรานนำทางอย่างไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาที่ 17.48 น. แต่คณะทั้งหมดก็ยังไปไม่ถึงจุดหมายที่จะพัก

“ข้าว่าน่าจะเจอนะไอ้สิงห์”

“อย่างพี่เบ ไม่น่าทำให้พวกเราผิดหวัง”พรานแปะร้องเสริม

“ถ้าได้เดินลงหุบแบบนี้ ข้าว่าลำห้วยมันต้องมีแน่ๆ”

“ไอ้เบมันก็เคยมาแถวนี้อยู่แล้ว ยังไงซะ ก็ต้องพึ่งมัน”พรานพรร้องเสริมมาอีกแรง

“เอานาไอ้สิงห์”

“ข้ารับประกัน ว่าถ้าลงหุบนี้ไปได้ เราจะเจอน้ำ”พรานผู้นำทางรับประกัน

“ไม่ขนาดนั้นหรอกน้าเบ”

“ที่ผมเป็นห่วง ก็กลัวว่าเราจะไปถึง ไม่ทันมืดเสียก่อน ป่าแถวนี้มันก็เริ่มรกขึ้นทุกที”สิงห์ตอบ มองป่ารอบๆกาย

“ไอ้สิงห์ว่ามา มันก็น่าห่วงเหมือนกัน”

“ข้าว่าพวกเรารีบไปกันต่อดีกว่า เสียเวลาเปล่าๆ”พรานพรร้องตัดบท ก่อนที่คณะทั้งหมดจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง และดูเหมือนว่าสิ่งที่พรานเบพูดมานั้น ทำท่าว่าจะเป็นจริง เพราะหลังจากเดินต่ำลงมา สภาพป่าก็เริ่มรกทึบขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงบริเวณพื้นดินก็เริ่มมีความชื้นมากขึ้นทุกขณะ จนในบางครั้งก็ลื่นไถลเอาเสียง่ายๆ เพราะความชื้นของหน้าดิน

          จากที่ลาดต่ำ มาบัดนี้กลับกลายมาเป็น ที่ลาดชันมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องคอยโน้มน้าวต้นไม้ประคองตัว แต่ก็ไม่แคล้ว ต้องหกคะมำคว่ำหงายกันเป็นทิวแถว เพราะความลื่นและชันของเส้นทาง แต่ที่จริงแล้ว ทั้งคณะหารู้ไม่ว่า ทั้งหมดกำลังเดินลงสู้ก้นหุบอย่างไม่รู้ตัว คงมีแต่พรานนำทางเท่านั้น ที่พอจะคาดเดาภูมิประเทศออก นอนกันก็ก้มหน้าก้มตาเดินไปเรื่อย จนในที่สุด ทุกคนก็เหมือนจะได้ยินเสียงแห่งสวรรค์ เสียงที่ว่าก็คือ เสียง ไหลริกๆ ของสายน้ำนั้นเอง

          ลำห้วยสายนั้น ทอดตัวกันขวางระหว่างเนินเขาทั้งสองลูก สายน้ำใสไหลระริก ซอกแซกไปตามหมู่หินที่ขึ้นอยู่กลางลำห้วยตื้นๆ ไม่เห็นหมู่ปลา ที่เคยเห็นเวียนว่าย ทั้งปลาเวียน ปลาก้าง เพราะน้ำในลำห้วยที่เห็น ตื้นเขินเสียจนพวกมันไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะส่วนที่ลึก ที่สุดเท่าที่เห็นคงสูงไม่เกินข้อนิ้วมือ แถมยังกว้างไม่เกินคืบ แต่ก็จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บ้าง ตามเนินทรายก็พอจะมีรูปูห้วย และตามกองใบไม้ใต้น้ำ เมื่อเปิดดูใต้ใบ ก็มีกุ้งห้วย และ ลูกอ๊อด ตัวใหญ่ๆอาศัยอยู่เป็นกลุ่มๆ ลูกอ๊อดแต่ละตัว ใหญ่โตขนาดเกือบเท่าหัวแม่มือทั้งนั้น นอกจากสัตว์น้ำแล้ว พืชผักที่พอจะเก็บกินได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย แต่ก็ไม่ได้หาเอาได้ง่ายๆ เพราะความทึบของป่าที่อยู่สูงขึ้นไป ทำให้บริเวณที่ต่ำกว่าดูทึบจนแทบไม่มีแสงส่องมาถึง จึงทำให้พืชขนาดเล็ก ที่อยู่เบื้องล่าง เจริญเติบโตได้ยาก และส่วนมากจะแคระแกร็นเสียหมด บางต้นก็ยืนต้นแห้งตายไล่ไปตั้งแต่บอนป่า และผักกูด ก็ดูเหี่ยวเฉาเสียจนใบเกือบจะโกร๋นหมดต้น แต่ก็ยังพอมียอดให้เลือกเก็บกินได้ โดยเฉพาะกล้วยป่า แต่ละต้นดูผอมชะลูดไม่สมส่วน บ้างต้นก็สูงเสียจนไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน บางต้นก็พับหักกลางลำต้น เพราะลำต้นที่เล็กของมัน ไม่สามารถรองรับน้ำหนักตัวมันเองได้

          พรานเบพาคณะทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยสายนั้น โดยเลือกเส้นทางที่มุ่งหน้าไปในทิศทางส่วนกระแสน้ำ เพื่อเลือกหาทำเล เหมาะๆที่จะสร้างปางพักและแหล่งน้ำที่ลึกมากกว่านี้ ให้แก่คณะเดินทาง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบทำเลทองอย่างที่ตั้งใจไว้  เพราะป่าที่รกเครือไปด้วยไม้ใหญ่ และเถาวัลย์ที่ขึ้นถักทอเสียจนแน่น ไม่เหมาะสมที่จะสร้างที่พัก ลำพังมาตัวคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่มีสมาชิกอีกเจ็ดคน พื้นที่แคบๆแค่นี้คงไม่พอ จากระยะทางไม่กี่เมตรอย่างที่หวังไว้ว่าจะเจอสถานที่เหมาะ เริ่มเปลี่ยนมาเป็นร้อยเมตร และไม่นานก็เป็นกิโลเมตรอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ข้าว่าพักแถวนี้เถอะวะไอ้เบ”

“จะค่ำแล้วนา”พรานชราร้องบอกมาจากท้ายขบวน

“ทนเดินกันอีกหน่อย ข้าว่าข้างหน้านี่ล่ะ”

“แถวนี้มันทั้งแคบทั้งรก”พรานนำทางร้องบอกมาจากหัวขบวน

“ตะกี้เอ็งก็บอกข้าแบบนี้ไม่ใช่รึ”

“เดินกันมาจะเป็นกิโลอยู่แล้ว”พรานชราร้องบ่น

“ลองเชื่อน้าเบแกหน่อยเถอะลุง”

“ผมว่า คงอีกไม่ไกล แถวนี้มันรกเกินไป อย่างที่แกว่ามานั้นแหละ”สิงห์ที่เดินเคียงคู่มากับพรานชรา ร้องบอกมาเบาๆ

“เอ็งจะพาไปยันไหนวะ”

“เย็นมากแล้วนา ค่ำแล้วมันจะลำบาก”พรานพร ซึ่งรู้สึกไม่ต่างไปจากพรานเฒ่าร้องเสริม

“ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคา ยังไงชอบกล”

“เหมือนข้าเคยผ่านมาแถวนี้มาก่อน”พรานนำทางหยุดตอบ พลางมองสิ่งรอบกายไปทั่ว อย่างไม่แน่ใจนัก

“ถ้าข้าจำไม่ผิด เดินไปอีกหน่อยจะเจอก้อนหินใหญ่กลางห้วย”พรานเบร้องบอกคณะ พลางชี้มือบอกไปในทิศทางเบื้องหน้า แต่ยังไม่ทันที่พรานเบจะกล่าวอะไรออกมาต่อ ก็มีใครบ้างคนพูดแทรกออกมาว่า

“โถ่ไอ้หอ ก!”

“ก้อนหินมันก็มีเหมือนๆกันทั้งนั้นล่ะ ใครจะไปรู้กับเอ็งวะ”พรานโส่ยสบถเสียงฉุนๆ

“แหม...มันน่าเอาพานท้ายกระทุ้งเสียจริงๆ!”

“ข้ายังไม่ทันจะพูดจบ ก็เสื อกแทรกเสียนี่”พรานเบร้องบอก พลางทำตาเขียวใส่พรานเฒ่า

“เออๆ ว่ามา ไอ้ห่ าอย่าลีลามาก เห็นมั๊ย!จะค่ำอยู่แล้วนี่”พรานโส่ยพูดพลางทำตาค้อนกลับ

“ว่ามาเลยน้าเบ ว่าลักษณะมันเป็นยังไง?”

“จะได้ช่วยๆกันดู เวลามีไม่มาก”ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ

“ไอ้หินที่ข้าว่า หน้าตามันดูพิลึกอย่างไงชอบกล”

“หน้าตามันเหมือนหัวกะโหลกผีวะ”

“ห๊า!”

“กะโหลกผี”ทั้งหมดอุทานเกือบจะพร้อมๆกัน

“เอ็งก็ว่าไป หินที่ไหนมันจะเป็นรูปหัวกะโหลก”

“มันอาจจะเป็นหัวช้าง หัวม้า มากกว่าล่ะมั่ง!”พรานพรร้องบอก เหมือนกับไม่เชื่อ

“ข้าดูดีแล้วไอ้พร ให้มองมุมไหน มันก็เหมือนหัวกะโหลกอยู่ดี”

“ถ้าเรามาถูกทาง อีกไม่นานเอ็งก็จะเห็นจริงอย่างที่ข้าว่า”พรานเบพูดจบก็เดินนำทางไปต่อ โดยปล่อยให้ทั้งหมดยืนงงอยู่แบบนั้น

“ข้าว่า ไอ้เบมันน่าจะเพี้ยน”

“เอ็งคิดแบบข้าหรือเปล่าไอ้พร”พรานชราร้องถามพรานพร

“มันก็ไม่แน่นะตาโส่ย คนอย่างไอ้เบมันไม่เคยโกหกใคร”

“อย่างลำห้วยนี่ ทีแรกแกก็ไม่เชื่อไม่ใช่รึ”พรานพรหันไปถามพรานเฒ่าเงียบๆ พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาเดินต่อ

“เอ็งคิดยังไงกับที่ไอ้เบมันพูดมาตะกี้”พรานเฒ่ากระซิบถามสิงห์ ที่เดินเฉียดเขาไปใกล้ แต่ไม่ทันที่พรานเฒ่าและชายหนุ่มจะเสวนาอะไรกันต่อ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นเบื้องหน้า

“เฮ้ย!”

“ท..ทะ..ทุกคนมาดูอะไรทางนี่เร็ว!”พรานแปะ ที่เดินตามหลังพรานเบร้องละล่ำละลัก

“ไหนพี่ ทางไหน?”ชายหนุ่มร้องถามทาง ขณะมุดลอดไปตามซุ้มเถาวัลย์ โดยมีบุคคลที่เหลือติดตามมาด้วยเป็นขบวน เถาวัลย์หนาทึบ ขึ้นเกาะเกี่ยวกันเป็นม่านหนา แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์แก่บุคคลที่พาการมุดลอดผ่าน เพราะไม่ใช่หนามหวาย ที่ต้องคอยตัดลิดเถาหนามที่ขึ้นขวางทาง ไม่กี่อึดใจ ทั้งหมดก็ทะลุผ่านไปได้ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้ทุกคนถึงกับผงะ

“ฮืม..!”ทั้งหมดครางออกมาแทบจะพร้อมๆกัน

“ป..ปะ..เป็นไปได้ยังไง?”พรานชราละล่ำละลัก ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น อย่างคนหมดเรี่ยวหมด
แรง

          ณ ตำแหน่งกลางลำห้วยที่เห็นสายน้ำใสไหลระริก ก้อนหินขนาดใหญ่โผล่พ้นขึ้นมากลางสายน้ำและเนินทราย ดูผิวเผินไปแล้ว มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับ ก้อนหินที่เคยพบเห็นมาก่อน แต่สิ่งที่เห็นและทำให้ชวนขนลุกก็คือ ลักษณะและรูปร่างของมันนั้นเอง ไม่มีใครในที่นี่ สามารถบอกหรืออธิบายให้เข้าใจได้ว่า สิ่งที่เห็นเกิดขึ้นและเป็นไปได้เช่นไร กะโหลกผี ที่พรานนำทางบอกมานั้นมันมีอยู่จริง และชัดเจนที่สุด กะโหลกผี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ก้อนหินใหญ่ที่โผล่ขึ้นมากลางสายน้ำมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม คล้ายๆแตงโมที่ถูกผ่าครึ่งลูก ทำให้พอจะเดาออกว่า อีกครึ่งน่าจะถูกฝังไว้ใต้ผืนทราย สีที่ออกขาวอมเหลืองอ่อนๆ ดูไปแล้วเหมือนสีของกระดูกไม่มีผิด ที่ทำให้ชวนสยองมากที่สุดก็คือ หน้าตาของมันที่ประดับอยู่บนเนินหินนั้น โพรงที่เหมือนเบ้าตาทั้งสองข้างดูกรวงโบ๋ แทงลึกเข้าไปในก้อนหินนั้น รวมไปถึงชะง่อนหินที่ยืนออกมาปิดส่วนที่เป็นโพรงลึกรูปสามเหลี่ยม พอจะให้มองออกว่า ส่วนนี้คือจมูก ที่ร้ายไปกว่านั้น บริเวณที่ต่ำที่สุด ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือปาก เพราะมันมีลักษณะเว้าเข้าไปในก้อนหินนั้นเสียเกือบครึ่ง แถมที่ส่วนปลายยังมีหินงอก ย้อยต่ำลงมาเกือบถึงผืนน้ำ ราวกับปากของอสูรร้าย ที่กำลังแสยะยิ้มให้กับมนุษย์ผู้มาเยือนอย่างมีเลศนัย

“เหมือน...เหมือนจริงๆ”

“เหมือนกะโหลกผี อย่างที่น้าเบว่ามานั้นล่ะ”ชายหนุ่มพูดออกมาเบาๆ พลางมองไปที่ก้อนหินประหลาด

“นะโม สังโฆ!”

“ยักษ์มานอนตายซายอยู่แถวนี้หรือเปล่า”พรานชราพูดจบก็ยกมือพนมขึ้นเหนือหัว

“เป็นไง พวกเอ็งเชื่อข้าหรือยังทีนี้”

“จะให้ข้ามองเป็นอย่างอื่นได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ กะโหลกผี อย่างที่ข้าว่ามา”พรานเบพูดจบ ก็ยกบุหรี่ขึ้นสูบ

“ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วแบบนี้”

“อะไรมันจะเหมือนขนาดนั้น”พรานพรร้องบอก พูดจบก็ล้วงบุหรี่ออกมาม้วนสูบด้วยมืออันสั่นเทา

“ป่าแถวนี้มันไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้วข้าว่า”

“ดูๆไป มันก็ชอบกลอยู่นา”พรานแปะพูดเสียงกระซิบ

“ไม่หรอกมั๊ง”

“ก็อีแค่ หินก้อนหนึ่ง คงไม่มีอะไรหรอกนา”สิงห์กระซิบตอบ

“ถ้ามันเป็นหินธรรมดาๆ ก็ว่าไปอย่าง”

“เอ็งไม่เห็นรึไง อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น”พรานแปะกระซิบบอก พลางบุ้ยปากไปที่ก้อนหินประหลาด ที่ดันไปเหมือนหัวกะโหลก

“เอายังไงต่อน้าเบ”

“ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าน้าก็มาถูกทางแล้วซินะ”ชายหนุ่มพูดตัดบท

“เดินย้อนขึ้นไปอีกไม่ไกล ก็จะถึงที่พัก”

“แถวโน่น โล่งเตียนกว่านี้แยะ”พรานเบพูดจบ ก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ก่อนที่จะใช้ปลายเท้าขยี้ดับ

“ข้าว่า รีบไปจากที่นี่กันเถอะวะ”

“บรรยากาศไม่ค่อยดี”เจ้าเหน๋อผู้ตาขาวกว่าใครในกลุ่ม ร้องเร่งให้คณะเดินทางต่อ อันที่จริงก็น่าเห็นใจ เพราะเกิดเป็นคนธรรมดา ถ้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว คงรู้สึกไม่แตกต่างไปจากคณะ ทั้งป่าทึบที่เริ่มมืดครึ้ม แถมยังมีกะโหลกผีมาแยกเขี้ยวแยกฟันหลอกเอาแบบนี้ เป็นใครก็หนาว

          พรานเบพาคณะเดินทางต่อ โดยไม่คิดจะสนใจหินหน้าตาประหลาดก้อนนั้น ผิดกับคนอื่นๆ ที่คอยจะหันหลังกลับไปดูเป็นพักๆอย่างอดไม่ได้ เหมือนหวาดระแวงอะไรบ้างอย่าง อย่างบอกไม่ถูก ขนาดสิงห์ที่ว่าเกิดและโตในเมืองไม่ค่อยจะเชื่ออะไรกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว  มาเจอแบบนี้เข้ากับตัวเอง ก็อดเสียไม่ได้ที่จะไม่หันกลับไปมอง และทุกครั้งที่เขามองหินประหลาดก้อนนั้น เขาก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ดวงตากลวงโบ๋ของกะโหลกหินคู่นั้น ก็จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ราวกับปีศาจร้ายที่จ้องมองเหยื่ออย่างมีเลศนัย....

*****เรื่องราวกำลังสนุก เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

ผิดพลาด ตกหล่น ประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7
ภาพที่ 2
ทริปเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนพาเพื่อนๆไปเที่ยวครับ

ระหว่างทางก็หาเสบียงไปด้วย ในรูปกำลังหาปลาครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7
ภาพที่ 3
ช่วงที่ไปถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณปลายๆเดือนตุลา  ป่าหมดฝนใหม่ๆ ดูเขียวไปหมด น้ำท่าก็มีให้ใช้
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7
ภาพที่ 4
ตรงไหนพอมีที่กว้างพอ ก็กางเต้นท์นอนครับ แต่อย่างที่ผมเคยบอก นอนเปลดีที่สุด แต่ทริปที่ผ่านมา มีสาวๆไปด้วย เรื่องการนอนเปลจึงไม่คอยจะสบายนัก

ถึงจะเป็นช่วงหมดฝน แต่ฟืนก็ยังอมน้ำอยู่ การที่จะหาฟืนแห้งจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก วิธีที่ดีที่สุดก็คือ หาต้นไม้ที่ตายพราย หรือ ต้นไม้ที่ยืนต้นตายนั้นเองครับ เหตุผลง่ายๆก็คือ ต้นไม้ที่ยืนต้นตาย กับ ต้นไม้ที่ล้มตามพื้นดิน น้าๆว่าอันไหนจะอมน้ำมากกว่ากัน
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7
ภาพที่ 5
การกินอยู่ก็ไม่ได้ ดี หรือ เลว จนเกินไปครับ ทริปผมยึดประหยัด และเน้นวิถีชาวบ้านให้มากที่สุด

ที่เห็นก็มี หมกปลา หมกเห็ดโคน ยำเห็ดโคน น้ำพริกเผา น้ำพริกนรก แกงตะพาบ(ลุงโส่ยแกงได้) ผักแนมสารพัด

สรุปกินดีกว่าอยู่บ้านอีกครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024