สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 5 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 14 - [6 ก.ย. 55, 13:38] ดู: 4,754 - [30 เม.ย. 67, 08:01] โหวต: 10
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
9 ก.พ. 55, 09:09
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8
ภาพที่ 1
บทที่ 9

ตอนที่ 8

          บนเส้นทางที่คดเคี้ยว พรานนำทางพาคณะทั้งหมด เดินลัดเลาะไปตามริมห้วยสายนั้น ซึ่งตลอดเส้นทางถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์นานาชนิด ตั้งแต่เส้นเล็กๆไม่เกินนิ้วก้อย ไปจนถึงเส้นขนาดใหญ่กว่าโคนขา เถาวัลย์บางต้นก็มีลวดลายแปลกตา บางต้นก็มีหนามแหลมแทงโผล่ออกมา ทำให้รู้สึกหวาดเสียวทุกครั้งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ บางต้นก็มีตะปุ่มตะป่ำตามลำต้นเต็มไปหมดดูน่าเกลียด ครั้งหนึ่งขณะที่ทั้งหมดพากันก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้น เจ้าเคิ้งที่เดินก้มๆเงยๆอยู่ ก็หยุดชะงัก พลางชี้ให้คณะดูวัตถุประหลาด หน้าตาของมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเถาวัลย์ที่พบเห็นทั่วๆไป ที่ดูแปลกก็เพราะขนาดและลวดลายของมันนั่นเอง ถ้าดูผ่านๆตามันก็คือเถาวัลย์ขนาดใหญ่เถาหนึ่งที่ขึ้นไปม้วนพันเป็นขมวดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของเถาวัลย์ทั่วไป แต่ลักษณะและลวดลายของเถาวัลย์เถานั้น มันดูแปลกตาอย่างไรชอบกล และเมื่อเพ่งมองดูดีๆแล้ว เถาวัลย์ยักษ์ที่เห็นอยู่นั้น กลับมีอาการขยับไหวช้าๆ ก่อนที่ส่วนปลายด้านใดด้านหนึ่งนั้นจะฟาดโครมลงมากลางขบวน

“เฮ้ย!”

“ไอ้พุ่มระวัง!”เจ้าเคิ้งที่ทันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เบิกตาโพลง พลางแหกปากร้องลั่น เมื่อเห็นท่อนเถาวัลย์ยักษ์ท่อนนั้นฝาดไปทางเจ้าพุ่มเพื่อนเกลอ เจ้าพุ่มเองก็ไวทายาด เพราะจ้องมองและคอยระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว จังหวะที่เถาวัลย์ท่อนเขื่องขยับและพุ่งลงมา เจ้าพุ่มก็พุ่งหลบฉากไปอีกทางอย่างเฉียดฉิว ก่อนที่ร่างที่ตกลงมานั้นทำท่าว่าจะตวัดกลับขึ้นไปบนคาคบไม้อีกครั้ง มีดพร้าเล่มใหญ่ของพรานพร ก็หวดฉับเข้าไปเต็มแรง ส่งผลให้ไอ้งวงปริศนานั้น มีอาการขาดออกจากกันในทันที

“ไอ้หลาม!”

“เกือบไปแล้วมั๊ยล่ะ”พรานพรพูดจบ ก็ก้มลงหยิบใบไม้แห้งบนพื้น ขึ้นมาปาดเช็ดคราบเลือดบนมีดของแก

“ใหญ่ไม่ใช่เล่น”

“นี่ ถ้าไม่ทันระวัง มีหวังกระดูกกรอบแน่ๆ”ผู้เพิ่งเฉียดการไปเยี่ยมนรกสดๆร้อนๆ ร้องบอก พลางใช้ปลายกระบอกปืนแก๊ปของตัวเองเขี่ยร่างไร้ตีนที่ขดเป็นขมวดแน่น

“มันน่าถลกหนังแล้วเอาเนื้อไปย่างกินจริงๆ”

“ดูสิ เนื้อขาวจั๊วะ”เจ้าเหน๋อพูด พลางใช้กิ่งไม้เขี่ยพลิกส่วนปลายที่ถูกคมมีด หงายขึ้นดู

“พอเถอะวะ ไอ้ห่ าใครจะไปกินลง”

“นี่ถ้าพวกร้านฟอกหนังมาเห็นคงน้ำลายไหล”สิงห์ร้องบอก

“เขาเอาไปทำอะไรพี่”

“เอาไปกินรึ”เจ้าเคิ้งพาซื่อร้องถาม

“กินไม่กิน พี่ไม่รู้วะ”

“แต่หนังของมันไม่เหลือแน่ ยาวไม่ต่ำกว่าสามวาแบบนี้ คงทำเครื่องหนังขายได้แยะ”สิงห์อธิบาย

“ไปกันต่อดีกว่า เสียเวลา”

“ถ้าเอ็งจะเอาไปกินก็แล้วแต่”พรานเบร้องบอก พลางหันไปร้องถามเหน๋อ

“ไม่เอาหรอก ตัวใหญ่เกิน กินไม่ลง”

“ถ้าเป็นงูสิงค่อยว่าไปอย่าง นี่อะไรตัวใหญ่กว่าขาอ่อน”เจ้าเหน๋อร้องตอบ พูดจบก็ผละจากร่างไร้วิญญาณของอสรพิษไร้ตีน

          การเดินทางเป็นไปด้วยความรีบเร่ง เพราะแสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิดเริ่มจางหายไปทีละน้อยๆ ราวกับไฟฉายที่เผลอเปิด สวิตซ์ค้างไว้ จนแบตเตอร์รี่ค่อยๆอ่อนลงช้าๆ เพราะหมดกระแสไฟ จนในที่สุดหลอดไฟภายในโคมกระจก ก็ดับแสงลง การเดินทางในครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ไฟฉาย ที่นึกจะเปิดหรือปิดสวิทซ์เวลาไหนก็ได้ตามต้องการ แต่เพราะธรรมชาติ ไม่เคยเว้นวรรค หรือหน่วงเวลา เพื่อรอท่าให้กับสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ว่าหน้าไหน จนในที่สุดทั้งหมดก็ต้องตกอยู่ภายใต้เงาของราตรีกาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          เสียงนกกลางคืน กู่ ร้องก้องป่า เสียงของมันดังกังวานสะท้อนไปมาในราวป่าทึบ เคล้ากับเสียงแมลงไพรที่พากันกรีดปีกเซ็งแซ่ ตามริมห้วยและชายดง แต่แล้วพวกมันก็ต้องพากันเงียบสนิท เพราะเสียง แกรกกราก ของใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบย่ำ เข้ามาสอดแทรก บรรยากาศในการบรรเลงเพลงไพรของมัน รวมทั้งลำแสงประหลาด ที่ส่องวูบวาบเป็นลำหลายดวง เคลื่อนไหวเขามาใกล้ แต่เมื่อทั้งสองสิ่งนั้นเคลื่อนห่างออกไป เหล่าแมลงไพรก็พากันส่งเสียงระงมป่าเช่นเดิม

          เกือบครึ่งชั่วโมงมาแล้ว ที่คณะทั้งแปดเดินงมกันมาในความมืด มีเพียงแสงสว่างของไฟฉาย ของแต่ละคนเท่านั้น ที่พอจะเป็นเครื่องทุ่นแรงในการมองเห็นสิ่งต่างๆรอบกายได้ ซึ่งตอนนี้ถูกกลืนหายเข้าไปในความมืดมิด จนมองอะไรไม่เห็นนอกจากสีดำมืดทะมึนและเงาลางๆของต้นไม้เท่านั้น  บ่อยครั้งที่ลำไฟฉายสาดกระทบกับเงาตะคุ่มๆ ของเถาวัลย์และต้นไม้ ก่อให้เกิดเป็นรูปร่าง หรือเงาประหาด ทำให้ต้องผวาทุกครั้งเมื่อพบเห็น หรือแม้แต่เถาวัลย์บางเถา ที่พันเกาะเกี่ยวอยู่ตามคาคบไม้ ก็ต้องคอยฉายไฟดูเป็นระยะๆ เพราะไม่แน่ใจว่า เป็นเถาวัลย์ธรรมดา หรือ งู ซึ่งบางขณะทั้งสองสิ่งนี้ ก็แทบจะแยกแยะจากกันไม่ออก ทั้งขนาดและลวดลาย โดยเฉพาะในยามวิกาลเช่นนี้ ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเพิ่มเป็นพิเศษ จนในที่สุดพรานเบก็พาคณะทั้งหมดมาหยุดตรง บริเวณพื้นที่ราบเรียบตอนหนึ่ง ลักษณะเป็นเนินยกระดับสูงจากลำห้วยเล็กน้อย

“แถวนี้ล่ะ ที่ครั้งก่อน ข้าเคยมาพัก”พรานเบร้องบอกคณะ พลางกราดไฟฉายไปรอบๆบริเวณ เพื่อสำรวจ

“เอ็งจำไม่ผิดแน่นะไอ้เบ”

“มืดๆค่ำๆแบบนี้”พรานชราว่า พลางส่องไฟฉายไปตามพื้นและยอดไม้ อย่างไม่สู้จะไว้ใจนัก

“ข้าจำไม่ผิดหรอกตาโส่ย”

“เลยจากกะโหลกหินนั่น ทวนมาตามลำห้วยนี้ก็ถึง”พูดถึงกะโหลกผี ทุกคนก็พากันขนลุกโดยไม่รู้ตัว

“แถวนี้สินา?..”

“นั้นไง! กองฟืนที่ข้าเคยก่อไว้ยังอยู่”พรานเบร้องบอก พลางฉายไฟ ลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้จนมองแทบไม่เห็นพื้นดิน แต่เมื่อสักเกตดูดีๆแล้ว ภายใต้กองใบไม้ที่ทับถมนั้นเอง ท่อนฟืนขนาดโคนขา ยาวร่วมวาสองต้น ถูกวางขนานคู่กันอยู่ ดูเผินๆมันก็เหมือนกับท่อนไม้ธรรมดาๆทั่วไป ที่หักหรืออาจจะโค่นล้มลงมากองกับพื้นตามธรรมชาติก็ได้ แต่สิ่งที่ผิดปกติไปจากธรรมชาตินั้นเอง ที่พอจะบอกอะไรแก่คณะทั้งหมดได้ว่า ตำแหน่งนี้เอง ที่พรานนำทางของเขาเคยมาพักอาศัยบริเวณนี้มาก่อน เพราะหลังจากพรานเบใช้เท้าเขี่ยใบไม้ที่สุมทับท่อนฟืนนั้นออก ก็ปรากฏรองรอยการเผาไหม้ของท่อนฟืนนั้น ซึ่งมันก็อยู่ตำแหน่งกึ่งกลางท่อนฟืนทั้งสองท่อนพอดี และเพื่อเป็นการยืนยันให้คณะแน่ใจและชื่อใจมากกว่านี้ ถัดออกไปเล็กน้อย พรานเบก็เขี่ยพลิกใบไม้ให้เห็นเตาสามเส้า ที่ทำจากก้อนหินขนาดเขื่องสามก้อน ซึ่งมันถูกวางเรียงเป็นมุมสามเหลี่ยม โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ด้านใน มีรองรอยเขม่าควันไฟเกาะดำปี๋ แสดงให้เห็นว่ามันเคยมีกองไฟก่ออยู่ภายในมาก่อน และสิ่งนี้เอง ที่เป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี

“ชัดเลย!”

“ไม่น่าพลาด”พรานพรร้องออกมาอย่างยินดี พลางเดินไปตบหัวไหล่ของพรานนำทางเบาๆด้วยความชื่นชมระคน ศรัทธา

“เอ๊า!”

“รีบๆโว้ย ใครจะทำอะไรก็ทำกัน หิวจนตาลายแล้ว”พรานชราโพล่งออกมา

“เอ็งสองคนไปช่วยไอ้เหน๋อทางโน้นก่อน”

“เดี๋ยวข้าจะเตรียมหุงข้าวหุงปลา ไอ้พรเอ็งช่วยก่อไฟให้ข้าที”พรานชราสั่งงาน พลางลื้อสัมภาระต่างๆและเสบียงเตรียมหุงหาอาหาร ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายออกไปทำหน้าที่ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน พรานเบชำนาญเรื่องน้ำ แกรับอาสาไปจัดเตรียมแหล่งน้ำกินและน้ำใช้ เพราะน้ำในลำห้วยตื้นเสียจนไม่สามารถใช้ภาชนะใดๆตักหรือตวงมาใช้ได้อย่างสะดวก แบบที่ผ่านๆมา นอกจากจะใช้ช้อนค่อยๆตัก ซึ่งเวลานี้จะมา พิรี้พิไรแบบนั้นไม่ได้ ปัญหาแค่นี้ มีหรือที่พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบ จะอับจนปัญญา ในเมื่อทั้งลำห้วยนี้ มีแต่ผืนทรายและกรวดหิน เพียงแค่ใช้ปลายมีดขุดคุ้ยพื้นทรายที่ร่วนซุยอยู่แล้ว ให้เป็นแอ่งพอที่จะใช้ภาชนะตักได้ พรานเบออกแรงขุดยังไม่ทันเหนื่อย ก็ได้แอ่งน้ำลึกร่วมศอกถึงสองแอ่งด้วยกัน ต่อจากนี้ไปก็ปล่อยให้น้ำจากด้านนอกค่อยๆซึมผ่านเข้ามาเองตามธรรมชาติ

          ถัดจากริมห้วยสานนั้น กองไฟกองใหญ่ถูกจุดสุมขึ้นมากลางลาน ท่ามกลางความมืดมิด ที่ปกปิดอัมพรางสิ่งต่างๆรอบกายจนมองอะไรไม่เห็น นอกจากฉากพื้นหลังสีดำมืดสนิท แต่ครั้นเมื่อได้รับแสงสว่างจากกองฟืน ป่าที่ดูมืดมิดน่าเกรงขาม ก็กลับสว่างไสว ถึงแม้รัศมีของมัน จะกินพื้นที่ไปไม่มาก แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจ และปลอดภัยมากกว่าไม่มีเลย

          จบเรื่องฟืนไฟ ก็มาวุ่นวายต่อ กับเรื่องข้าวปลาอาหาร คำว่า มืดค่ำแล้วจะลำบาก ทำท่าว่าจะจริง เพราะจะหยิบจะจับอะไรก็ดูไม่ถนัดไปเสียหมด ไหนจะหุงข้าวทำกับข้าว ไหนจะต้องจัดที่อยู่ที่พัก ลำพังถ้าท้องฟ้าไม่มืดก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้มืดสนิทเสียแล้ว จะทำอะไรต่ออะไร ต้องคอยระวังไปหมด ถึงแม้จะมีแสงไฟจากกองฟืนมาเติมในส่วนที่ขาดหายไปแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นก็ยังมีคำว่าพลาด ครั้นหนึ่ง เจ้าเหน๋อ ผู้ทั้งมือและปากไม่ว่าง เพราะมือทั้งสองข้างหอบหิ้วหม้อสนามที่มีน้ำอยู่เต็มปริ ที่ว่าปากไม่ว่างก็เพราะ เจ้าตัวคาบไฟฉายกระบอกเล็กไว้ในปาก ในเมื่อมือไม่ว่างที่จะจับ ก็เลยต้องใช้ปากคาบแทน ในจังหวะที่เจ้าตัวกำลังงมมาตามทาง ที่ตัวเองส่องไฟฉายไม่ค่อยจะเห็นทางนั้นเอง ไม่รู้ว่าผีหรือเจ้าที่มาบังตาไม่ให้เห็นก็ไม่ทราบได้ ขาที่กำลังจะก้าวเดิน ดันไปสะดุดพูนรากไม้จนล้มคะมำ ชนิดที่ว่า หม้อไปทาง ไฟฉายไปทาง แถมน้ำที่อุตสาห์ตักมา แทนที่จะได้กินใช้ ก็กลับเอาไปรดต้นไม้เสียหมด

“ปุดโธ่!”

“ไอ้ห อก ไม่ระวังเลย ไอ้เคิ้งไปดูซิ ตอเสียบตายห่ าไปแล้วมั๊งนั่น?”พรานชราโพล่งออกมา พลางร้องเรียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ให้ไปดูอาการผู้ร่วมชะตากรรม

“ไม่เป็นไร”

“..อูยยย”เจ้าเคิ้งวิ่งไปดูยังไม่ถึงครึ่งทาง เจ้าคนที่นอนหน้าคะมำอยู่ก็ร้องบอกออกมา ทำเสียงครางน่าสงสาร

“หมด!”

“แม่ งเอ๊ย....ได้อาบน้ำก่อนเพื่อนเลยกู”เจ้าเหน๋อสบถ หลังลุกขึ้นมาปัดเนื้อปัดตัว

“ไอ้เคิ้ง เอาฝาหม้อมาให้ข้าด้วย”

“ไหนๆเอ็งก็จะมาแล้ว เอาหม้อมาอีกสองลูก แล้วก็มาช่วยข้าตักน้ำ”เจ้าเหน๋อร้องบอกเจ้าเคิ้งเสียงฉุนๆ เพราะยังไม่หายแค้นตัวเอง ที่พลาดท่าเสียฟอร์ม

          ภายใต้เงาสลัวของเปลวไฟในกองฟืน บุคคลทั้งแปดต่างช่วยทำงานกันอย่างแข็งขัน บ้างก็ออกส่องไฟหาฟืนไว้เตรียมสำรอง สำหรับใช้ตลอดทั้งคืน บ้างก็จัดเตรียมสถานที่พักให้ดูโล่งเตียนกว่าเดิม ที่กวาดก็กวาดไป ที่ตัดลิดกิ่งก้านที่ยื่นขวางเกะกะ ก็ตัดแต่งไป แต่ส่วนมากจะเป็นการเก็บกวาดใบไม้แห้งเสียมากกว่า เพราะป่าบริเวณที่พักนั้น มีแต่ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ทั้งนั้น ไม้เล็กไม้น้อยจึงมีอยู่ไม่มาก ถึงมีก็จะแคระแกร็นเสียหมด ที่มีอยู่มากก็คือ พวกต้นเถาวัลย์สารพัดชนิด ที่ขึ้นเกาะเกี่ยวกันเป็นแผง บางเถาก็ห้อยระโยงรยางค์ บางก็พันเป็นเกลียวไปตามต้นไม้ หรือบางเถาก็เลื้อยไต่ไปตามผิวดิน นอกจากจะยุ่งอยู่กับฟืนไฟและสถานที่พักแล้ว สิ่งที่ขาดและจะยืดยาดเสียไม่ได้ก็คือ อาหารการกิน เพราะเวลานี้ก็เลยเวลาอาหารเย็นมามากพอสมควร ตั้งแต่คณะทั้งหมดเดินทางมาถึง จนป่านนี้ข้าวในหม้อสนามเพิ่งจะได้ขึ้นแขวนราว ไม่ต้องบอกหรือเดาก็น่าจะรู้ว่า จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กิน

“เร็วโว้ย! ไอ้พุ่ม”

“เครื่องแกงเสร็จหรือยัง?”พรานเฒ่าร้องถามเจ้าพุ่ม ที่ต้อนนี้ตั้งหน้าตั้งตา ตะบี้ตะบัน โขลกเครื่องแกงอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เก้งย่างที่ให้ผมหั่น”

“ เอาไงต่อลุง”สิงห์ร้องถามพรานโส่ย ขณะนั่งหั่นเนื้อเก้งย่างชิ้นสุดท้ายเสร็จ

“น้ำมีอยู่ในหม้อ”

“เอ็งช่วยแช่เนื้อเก้งให้ข้าที”พ่อครัวชราร้องบอก

“แช่น้ำเปล่าๆนี้หรือลุง?”

“ต้องต้มน้ำด้วยหรือเปล่า”ชายหนุ่มร้องถาม พลางเทน้ำในหม้อสนามใส่ชามเตรียมแช่เนื้อเก้งย่าง ที่หั่นเป็นชิ้น

“ไม่ต้องตงต้องต้มหรอก”

“เอาแค่นั้นแหละ”พรานชราร้องบอก พูดจบก็ลุกขึ้นไปหยิบหม้อ เตรียมตั้งกับเตาหินสามเส้า

“เดี๋ยวข้าจะทำแกงเก้งย่างให้กิน”

“น้ำพริกแห้งยังมีเหลือ ผักกูดที่ข้าเก็บมาก็คงจะพอกินกันอยู่ จะกินสด กินสุก ก็แล้วแต่เอ็ง” พรานเฒ่าพูดจบ ก็บุ้ยไปที่ย่ามของแก

“ลวกกินสักครึ่ง อีกครึ่งกินสดๆ”

“แล้วอ้นตัวนี้ล่ะ จะทำอะไรกินกัน กลิ่นชักไม่ค่อยดีแล้ว”เจ้าเคิ้งร้องบอกพรานผู้พ่อ พลางยกตัวอ้นย่าง ที่ได้มาเมื่อตอนเช้าขึ้นดม

“เออ..ข้าก็เกือบลืม”

“เก็บไว้กินพรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้เอาแค่นี้ก็พอ ดึกแล้วทำไม่ทันกิน”พรานชราร้องบอก

“เอาไปย่างกันเน่าไว้ก่อนก็ดีไอ้เคิ้ง”

“เสียดายของ กว่าจะได้มา”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็ยกหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดพล่านลงมาพักไว้ที่พื้น

          ท่ามกลางกองไฟที่ส่งแสงสว่างและอายอุ่น หม้อที่พรานเฒ่านำขึ้นเตาสามเส้าก็ร้อนได้ที่ เครื่องแกงของเจ้าพุ่มที่โขลกพอแหลก ถูกเทลงไปผัดพร้อมกับน้ำล้างครกจนหอมฉุย น้ำแกงเริ่มงวดลง เนื้อเก้งย่างหั่นจึงถูกเทลงไปผัดจนทั่วถึง  พรานโส่ยตักชิมน้ำแกงอยู่ครั้งสองครั้งหลังจากปรุงรสด้วยเกลือป่นก็ยกลง เพราะเนื้อเก้งย่างสุกมาก่อนแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่า ไม่ถึงห้านาที เมนูนี้ก็เสร็จบริบูรณ์

          จบจากแกงเนื้อเก้งย่าง ก็หันกลับมาลื้อของในย่ามเสบียงก็คือถุงกระสอบปุ๋ยใบเก่า พ่อครัวกลางป่าลื้อค้นอยู่ไม่นาน ก็งัดถุงมะขามเปียกออกมาได้ มะขามเปียกหรือมะขามเปรี้ยวถูกแกะเปลือกรวมกันเป็นปึกจนแน่น พรานโส่ยแงะออกมาจากปึกได้สามสี่ฝักก็นำไปละลายกับน้ำร้อน ที่พรานแปะแบ่งเทใส่ฝาหม้อสนามไว้แทนถ้วย จากนั้นก็นำน้ำและเนื้อมะขามที่ได้ ไปคลุกเคล้ากับน้ำพริกแห้ง เท่านี้ก็ได้น้ำพริกไว้จิ้มกินกับผักแนม นอกจากทั้งสองเมนูที่พรานโส่ยโชว์ฝีมือแล้ว ยังมีปูห้วยตัวเขื่องอีกหลายสิบตัว ที่พรานเบและพรานพร ออกไปส่องไฟหาตามริมห้วย จึงมีเมนูปูห้วยเผาเข้ามายั่วน้ำลายอีกเมนู

“เป็นไงล่ะไอ้สิงห์ ลำบากสมใจเอ็งหรือยัง”

“ข้าว่า ไอ้ชายดงดำนี้ จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรอย่างที่พวกเราคิดกันวะ”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็ยกหม้อสนามลงจากราวหุง

“ผมก็ฝันไปเสียใกล้”

“ก็คิดว่ามันคงมีอะไรดีกว่าป่าด้านนอก ที่เราเคยๆไปเที่ยวกันมา”สิงห์ตอบ พลางซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ก็ข้าบอกแล้วไงล่ะ”

“ว่าไม่ต้องมาหรอก รู้แบบนี้หานอนแถวห้วยสด ห้วยแห้ง เข้าท่ากว่าเยอะ”พรานชราร้องบอก

“แกก็ว่าไปตาโส่ย พวกเรามาถึงที่นี่ก็มืดค่ำแล้ว”

“พรุ่งนี้เช้าคงได้เห็นอะไรดีๆกว่านี้แน่ แกก็ไม่เคยมา จะไปรู้ดีได้ยังไง!”พรานพรพูดเสียงขุนๆ

“ไม่อดตายห่ าก็บุญแล้วไอ้พร”

“น้ำท่าก็เกือบจะไม่มีให้ยัดห่ า เสบียงก็เหลืออีกนิดหน่อย เอ็งจะทำยังไง”พรานชราว่ากลับ

“เอานาพ่อ คืนนี้ฉันกะไอ้พุ่ม กะว่าจะออกไปหาส่องกบทูบแถวนี้ดู”

“ตอนเดินมาตามลำห้วยเห็นลูกอ๊อดเยอะแยะ น่าจะมีตัวอยู่”เจ้าเคิ้งร้องบอก เพราะเห็นสถานการณ์ระหว่างคนทั้งสองไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“เออ! ใช่ๆ”

“พี่ก็เห็นวะ มีลูกก็ต้องมีพ่อมีแม่ให้จับ ดีไม่ดีอาจจะชุมกว่าข้างล่าง”สิงห์ผสมโรง

“ถ้าไม่มีให้จับ ก็ล่อลูกอ๊อดนั่นล่ะ”

“บีบไส้แล้วล้างดีๆหมกกิน อร่อยกว่าปลาหมกของตาโส่ยตั้งแยะ”เจ้าเหน๋อแหย่มาบ้าง

“แหม..ไอ้เหน๋อ!”

“ใจคอเอ็งจะล่อทุกอย่างเลยหรือวะ ตะกี้ข้าก็ขนลุกเรื่องงูไปทีหนึ่งแหละ”ชายหนุ่มร้องบอก เพื่อนเกลอ

“โอย..ไอ้สิงห์!”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องของกิน ถ้าเป็นของป่าเพื่อนเอ็งมันล่อทุกอย่าง”พรานชราตอบ พูดจบก็ใช้สันมีดกะเทาะฝาหม้อสนามที่ใช้หุงข้าวออก

“ไม่จริง! ไอ้สิงห์ เอ็งอย่าไปเชื่อที่ตาโส่ยพูด”

“ของป่า ข้าไม่ได้กินหมดเสียทุกอย่างนะโว้ย! อย่างน้อยๆก็มีอยู่ 3 อย่าง ที่ข้าไม่กินเด็ดขาด”คนถูกใส่ความว่า พลางทิ้งคำตอบปริศนา

“อะไรของเอ็งวะ?”

“มีรึที่ว่าเอ็งไม่กิน ทุกที ข้าเห็นเอ็งฟาดไม่มีเหลือ”พรานชราร้องบอกออกมาอย่างสงสัย

“คิดก่อน..?”คนถูกถาม ทำท่าเคร่งเครียด พลางขมวดคิ้วคิด สักพักก็ตอบขึ้นว่า

“อ๋อ...คิดออกล่ะ ก็มี พระธุดงค์ ฤๅษี ละก็ ทหารพราน กรั๊กๆ”คำตอบที่ได้ ทำเอาทั้งคณะหัวเราะกันท้องขดท้องแข็ง ยกเว้นตาโส่ยที่ไล่เตะเจ้าของคำตอบพัลวัน

          ภายใต้แสงวอมแวมของเปลวไฟ ที่เต้นพลิ้วไหวไปมา ในป่าทึบเช่นนี้ แสงไฟจากกองฟืนเพียงกองเดียว ก็สามารถส่องแสงสว่างโพลนไปทั่วบริเวณ ถึงรัศมีของมันจะไม่กว้างขวางนัก แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจ เพราะมนุษย์ไม่เหมือนสัตว์ป่า ที่สามารถมองเห็นอะไรต่ออะไรได้ในเวลากลางคืน ในสถานการณ์เช่นนี้ แสงสว่างจึงมีความจำเป็นที่สุด

          ห่างจากกองไฟรวมสองวา ผ้าใบสีหม่นผืนใหญ่ ถูกกางแผ่จนสุดผืน ก่อนที่อาหารต่างๆจะถูกลำเลียงขึ้นไปวางเรียงราย ทั้งแกงเนื้อเก้งย่าง น้ำพริกผักแนม และปูห้วยเผา โดยทั้งหมดถูกพรานเบตั้งแบ่งออกไปก่อนหน้าแล้ว เพื่อนำไปเซ่นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาตามทำเนียมป่า ก่อนที่ทั้งหมดจะร่วมวงกันเปิบอาหารมื้อดึก ด้วยความเอร็ดอร่อย กับข้าวบ้านป่าขนานแท้ ถึงแม้ไม่ได้โอ่อ่า อย่างในสวนอาหารหรือภัตตาคารห้าดาว แต่สำหรับบุคคลทั้งแปดแล้ว มันกลับทำให้รู้สึกว่า อาหารมื้อนี้ ช่างเป็นมื้อพิเศษเสียจนไม่อยากอิ่ม

“กินข้าวอิ่มแล้ว เอ็งก็ไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย”

“ข้ากับไอ้พรขุดบ่อเอาไว้ให้เอ็งอีกบ่อแถวๆชายห้วยนั้นแหละ”พรานเบร้องบอกตำแหน่งบ่อน้ำที่สำหรับใช้

“แหม..บริการดีจริงๆน้าเบ”

“ผมมันคนง่ายๆ มีก็อาบไม่มีก็ไม่อาบ ฮาๆ”สิงห์ตอบ พลางหัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าได้ลูบเนื้อลูบตัวเสียหน่อย ดูสิ แต่ละคนดูได้เสียที่ไหน”

“พวกข้าชินเสียแล้วไอ้สิงห์”

“เรื่องไม่ได้อาบน้ำ มันธรรมดา”พรานโส่ยร้อบบอก พูดจบก็ยกน้ำในกระบอกขึ้นดื่ม แต่แล้วก็แทบจะสำลักน้ำเพราะพรานพรร้องขัดขึ้นมาว่า

“อย่ามาอ้างพวกโว้ย!”

“ใครเขาจะสกปรก อย่างแกล่ะตาโส่ย!”

“ตั้งแต่เข้าป่ามานี่ ข้ายังไม่เคยเห็นแกอาบน้ำสักวัน”พรานพรพูดจบ ก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบ

“โธ่ๆ พ่อคนสะอาด!”

“ยักกะเอ็งจะอาบ”พรานโส่ยแหว

“จะเป็นไรไปลุง”

“มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น จะหล่อไปอวดสาวๆที่ไหน ลูกทุ่งแบบนี้ล่ะดีแล้ว”ชายหนุ่มว่า

“น้ำไม่อาบ อย่างน้อยๆก็บ้วนปากแปรงฟันมั้งก็ดีนะลุง”

“ฟันฟางจะได้ไม่ผุ”ชายหนุ่มอธิบายเชิงวิชาการในเรื่องสุขอนามัย ในช่องปาก

“อย่างพวกข้าไม่เท่าไหร่หรอกไอ้สิงห์”

“โน่น คนสะอาดต้องยกให้ตาโส่ย ตั้งแต่เกิดมาเคยจับแปรงสีฟันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รุ”พรานแปะเสริม พูดจบก็ต้องรีบลุกหนี เพราะรองเท้าฟองน้ำของแกข้างหนึ่งลอย
แหวกอาการมาแต่ไกล แต่ไม่ทันที่ใครจะเอ่ยอะไรต่อ พรานเบก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“พวกเอ็งเห็นดาวบนโน่นบ้างหรือเปล่า”

“ดึกดื่นขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นดาวสักดวง?”คำพูดของพรานนำทาง ทำให้ทั้งหมดรีบเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และมันก็เป็นไปอย่างที่พรานเบบอกทุกอย่าง เพราะบนนั้นนอกจากฉากสีดำสนิทแล้ว ดวงดาวที่เคยเห็นระยิบระยับ กับไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่ดวงเดียว ผิดจากครั้งก่อนๆ ที่เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในเวลาเช่นนี้ จะต้องเห็นหมู่ดาวระยิบระยับเต็มไปหมด ซึ่งตอนนี้ผิดปกติ

“เออ!”

“จริงๆด้วย ดาวมันหายไปไหนหมด”เจ้าพุ่มร้องบอก

“ยอดไม้บังล่ะมั๊ง?”พรานพรวิเคราะห์

“อยู่ในหุบลึกก็แบบนี้แหละ”พรานชราเสวานาตอบ

“ขี้เมฆมันลอยมาบังมากกว่า เดี๋ยวลมพัดลอยไปที่อื่นก็คงจะเห็น”พรานแปะว่ามาอีกคน

“สี่ทุ่มกว่าแล้วนา มันดูแปลกๆอย่างที่น้าเบแกบอกนะผมว่า”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู  ที่ต้อนนี้เข็มของมันชี้บอกเวลาที่ 22:37 นาที ซึ่งเหตุผลและทุกกรณี ที่แต่ละคนกล่าวมาล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันที่คณะทั้งหมดจะหายสงสัยในเรื่องดาว พรานคนเดิมก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“เงียบๆหน่อยซิ”

“ป่ามันเงียบยังไงชอบกล”พรานเบพูดในน้ำเสียงแผ่วเบาบอกคณะ ซึ่งทุกคนก็เพิ่งจะมาผิดสังเกต เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ บริเวณรอบๆที่พักยังเซ็งแซ่ไปด้วยเสียง กรีดปีกของแมลงไพรนานาชนิด มาตอนนี้ พวกมั นกลับพากันเงียบเสียงลงอย่างผิดสังเกต แต่แล้วไม่ทันที่พรานนำทางจะเอ่ยอะไรต่อไป ทันใดนั้นเอง เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่นอนขดอยู่ข้างกองไฟอยู่นั้น กลับมีอาการทะลึ่งพรวดพราดลุกขึ้นกันอย่างพร้อมเพียง พร้อมๆกับทำหูตั้ง มองไปที่ราวป่าอันมืดทึบเบื้องหน้า...

*****เรื่องราวค่อจากนี้จะเป็นเช่นไร และอะไรอยู่ในเงามืด.? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป!!*****

ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผม หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8
ภาพที่ 2
ใครพอทราบบ้างครับว่า ดอกไม้ในรูป มันคือดอกอะไร?

รูปบน ผมถ่ายไม่ค่อยชัด ช่วงนั้นผมมีแต่กล่องกากๆ(จริงๆแล้วฝีมือผมกาก มากกว่า ฮาๆ)  มันคือ ลูกอ๊อด ครับ กินได้ ทางอีสานเรียกว่า อีฮ้วกหรืออะไรสักอย่าง ทางเหนือ เรียกว่า แมงอีปุ่ม

สังเกตด้านหลังมือ เห็นขี้ช้างหรือเปล่าครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8
ภาพที่ 3
รูปนี้ผมถ่ายตอนที่ไปเที่ยว ช่วงเดือนเมษา ครับ

ข้อเสียของการเที่ยวหน้าแล้ง ที่ผมคิดว่ามันคืออุปสรรคมากที่สุดสำหรับผม ก็คือ แมลงครับ สารพัดชนิด เวลาจะกินข้าวแต่ละทีก็ต้องทำแบบในรูปครับ ไม่งั้นนั่งกินไม่มีความสุข
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8
ภาพที่ 4
แต่ถ้าไปเที่ยวช่วงฝน ก็จะเป็นแบบในรูปครับ ข้อเสีย มีอยู่อย่างเดียว คือ เปียก (จะบอกทำไม)
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8
ภาพที่ 5
แล้วก็ เวลานอน จะลำบากหน่อยสำหรับเต๊นท์ เพราะถ้าไม่หาอะไรมากันน้ำที่พื้น หรือไม่ขุดคันดินรอบเต๊นท์ดีๆ ก็มีโอกาสได้นอนแช่น้ำ ผมถึงบอกไงครับว่า นอนเปลดีที่สุด(ความคิดส่วนตัวผมนะครับ)
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024