สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 4 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 21 - [6 ก.ย. 55, 13:51] ดู: 5,608 - [30 เม.ย. 67, 11:28] โหวต: 13
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
14 ก.พ. 55, 09:38
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9
ภาพที่ 1
บทที่ 9

ตอนที่ 9

          ป่าใหญ่ดงทึบ ที่เคยเพรียกเสียงหริ่งหรีดเรไรระงมป่า มาบันนี้ต่างพากันเงียบเสียงลงอย่างพร้อมเพียง ราวกับนัดกันไว้  เมื่อไร้เสียงสำเนียงป่า ป่าที่ดูเปล่าเปลี่ยวอยู่แล้ว ก็พลันทำให้บรรยากาศที่เยือกเย็น ยิ่งสร้างความวิเวกวังเวงเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ในความเงียบสงัด ที่โสตประสาทของมนุษย์ ไม่อาจสามารถที่จะสัมผัสหรือจำแนกเสียงที่ซ่อนเร้นในเงามืดได้ แต่สำหรับสุนัขทั้งสอง ที่มีสัญชาตญาณการรับรู้ได้ดีกว่ามนุษย์ ย่อมจะสัมผัสได้ในความไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่าง นอกจากจะคอยผุดลุกผุดนั่นแล้ว ทั้งสองยังทำเสียงคราง ฮือๆ อยู่ในลำคอ

“อะไรของมันว่ะ ไอ้เบ”

“ท่าทางจะไม่ดีเสียแล้ว”พรานพรกระซิบถามพรานนำทาง

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ป่ามันเงียบเสียจนข้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”พรานนำทางกระซิบตอบ

“เอาไงดีน้าเบ”

“ลองส่องไฟดูมั๊ย เผื่อจะเห็นอะไรบ้าง”ชายหนุ่มพูดจบก็ทำท่าว่าจะฉายไฟ ไปทางทิศที่หมาทั้งสองตัวยืนหูตั้งจ้องเขม็ง แต่ก็ต้องหยุดความคิดไว้เช่นนั้น เพราะพรานพรแตะแขนไว้เสียก่อน

“มันคงไม่ได้อยู่ใกล้ๆแถวนี่หรอก”

“ไม่งั้นคงได้ยินเสียงแล้ว”พรานพรกระซิบบอกเสียงแผ่วเบา

“แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับเอ็งวะ ไอ้พร”

“อย่างน้อยๆ ก็กันไว้ก่อน เผื่อจะมีตัวอะไรมันย่องมาหาเราก็ได้”พรานชราร้องขัด แต่ไม่ทันที่พรานโส่ยจะพูดอะไรต่อ พรานเบก็ทำหูผึ่งเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แล้วรีบก้มตัวลงเอาหูแนบติดพื้นดิน ท่ามกลางหมู่คณะ ที่พากันยืนลุ้นระทึกอยู่นั่นเอง พรานเบก็รีบลุกพรวดพราดขึ้นมา พลางบอกคณะทุกคนว่า

“ช้าง!”

“มันกำลังมาทางเรา!”

“ห๊า!..”

“เอ็งแน่ใจรึ”พรานพรร้องบอก พูดจบก็รีบก้มตัวลงเอาหูแนบพื้นดินฟังเสียง ไม่กี่อึดใจ ก็ทำตาเบิกโพลง

“ฉิ บหายแล้วไง!”

“มากันทั้งโขลง”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน

“ช่วยกันสุมไฟให้สว่างๆเข้าไว้พวกเรา”

“ที่เหลือช่วยกันเก็บข้าวของเร็ว!”พรานเบร้องส่งคณะ พูดจบก็เดินไปหยิบปืนลูกซองยาวคู่กายที่พิงไว้ ขึ้นมาคาดสะพาย พลางจัดเก็บสัมภาระต่างๆ ของตนใส่เป้ ทำให้คนอื่นรีบทำตามอย่างชนิดรีบด่วน ไม่ว่าของใครเป็นของใคร ปะปนกันมั่วไปหมด ไม่มีเวลามานั่งเลือกว่าอันนี้มันของข้า อันนั้นมันของเอ็งเหมือนแต่ก่อน เพราะเวลาในยามวิกาลเช่นนี้จะมาเสียเวลาไม่ได้ และที่สำคัญ แขกที่จะมาเยี่ยมไม่ได้มาเพียงลำพัง แถมตัวโตน้องๆภูเขา

“สงสัยจะโขลงเดียวกัน”

“อุตสาห์หลบมาทางนี้ ยังจะมาเจอกันอีก!”พรานแปะร้องบอก พลางลากท่อนฟืนเข้าไปสุมไฟ จนบริเวณที่พักและพื้นที่รอบๆสว่างโพลนไปด้วยแสงไฟจากกองฟืน

“จะเอาอยู่หรือน้าเบ”

“ผมว่า ยิงไล่มันไปสักนัดสองนัดเป็นไง”สิงห์ร้องบอกออกมาอย่างตื่นเต้น

“อย่าเสี่ยงดีกว่าข้าว่า”

“ถ้ามันหนีก็ดีไป แต่ถ้ามันบุกมา เราจะแย่”พรานเบร้องบอก แข่งกับเสียงปะทุของกองฟืน ที่ตอนนี้ฟืนเกือบจะทุกท่อนที่หามา ถูกนำไปสุมเป็นกองพะเนิน

“มันไปยังไงมายังไงของมัน?”

“คงไม่ได้หนีไฟมาที่หุบนี้หรอกนะ”ชายหนุ่มร้องบอกพรานเบ พลางเก็บพับเปลสนามของตัวเองอย่างเร่งรีบ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเช่นเคย

“ที่เอ็งว่า มันก็มีเหตุผล”

“ไม่แน่มันอาจจะหนีไฟที่ตีโอบขนาบทางด้านโน่นมาก็ได้”พรานพรร้องเสริม แต่ไม่ทันที่พรานพรจะพูดอะไรต่อ เสียงกิ่งไม้หักดัง เปรี๊ยะ ก็แว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล

“นั่นไง!”

“พูดไม่ทันขาดคำ”พรานพรแยกเขี้ยวบอก

“ยังพอมีเวลาอยู่”

“ข้าว่าพวกเราถอยไปอยู่ที่ชายเขาฝั่งโน่นดีกว่า ดีร้ายยังไงจะได้หนีขึ้นเขาทัน ชันๆแบบนั้นคงเอาอยู่”พรานเบร้องบอกคณะ พลางส่องไฟฉายไปที่เนินเขา ที่ติดลำห้วย
ฝั่งตรงข้าม

          สถานการณ์ที่เป็นไปด้วยความฉุกละหุก เพราะแขกที่ไม่ได้รับเชิญแวะเข้ามาเยี่ยม ถึงแม้จะไม่ชัดเจนว่า ช้างทั้งโขลง จะยกขบวนกันมาเดินสวนสนามเล่นในปางพักของคณะหรือไม่ แต่ด้วยความไม่ประมาท บวกกับประสบการณ์ของพรานนำทางแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้ทั้งนั้น เพราะดูท่าทีของช้างโขลงนั้น ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเลี่ยงหรือถอยร่นไปใช้เส้นทางอื่นอย่างเมื่อคืนก่อน อาจเป็นไปได้ว่า พวก มันยังไม่กระสากลิ่นควันไฟที่คณะจุดสุมเสียสว่างไสว หรืออีกเหตุผลหนึ่ง ที่ชายหนุ่มว่ามานั้น ก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า ช้างป่าโขลงนั้น อาจจะหนีไฟป่าที่ตีโอบมาจากอีกด้าน ทำให้พวก มันต้องเลี่ยงมาใช้เส้นทางนี้ และดูเหมือนว่า เหตุผลหลังสุดนี้ น่าจะมีน้ำหนักมากที่สุด เพราะถ้าเป็นการเดินออกหากินธรรมดาของช้างป่าทั่วไป ก็คงไม่เลือกมาหากินในป่าที่มีแต่ไม้ใหญ่และเถาวัลย์เช่นนี้ เพราะนอกจากจะมีแต่ต้นไม้ใหญ่ที่มันกินไม่ได้ ถึงแม้ว่าใบของต้นไม้บางชนิดพวก มันจะกินได้ก็ตาม แต่มันก็สูงเสียจนงวงของมันไม่สามารถไขว่คว้าเอามากิน หรือพืชที่พว กมันจะใช้เป็นอาหารบริเวณนี้ก็แทบจะไม่มีให้เห็น ผิดกับชายป่าด้านนอกที่อุดมไปด้วยแหล่งอาหาร ทั้งป่าไผ่ กล้วยป่า และไม้เล็ก ที่มีให้เลือกเก็บกินอย่างเหลือเฟือ อย่างเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน ถึงแม้พว กมันจะมาวนเวียนหากินใกล้ๆกับปางพักของคณะ แต่เมื่อสุมไฟไล่ พวกมันก็พากันถอยหนีไป แต่คืนนี้สถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เพราะนอกจากพว กมันจะไม่หลีกเลี่ยงหรือถอยหนีไปไหนแล้ว ดูเหมือนว่าพ วกมันจะตั้งใจมุ่งหน้ามาทางปางพักของคณะ และในที่สุด สิ่งที่คณะทุกคนไม่คิดที่จะเผชิญก็เกิดขึ้นจนได้

“ฮืมมม...”

“โฮ่ง!”เจ้าพะเปรียว ที่ยืนนิ่งฟังเสียงอยู่นาน เห่าออกมาเสียงดังลั่น พร้อมๆกับเสียงหักของไม้แห้ง ที่ดังได้ยินถนัดหู

“โผล๊ะ!”

“ครึก...ครึก”

“โฮ่งๆๆ..โบ๋วว”เจ้าพะบองทั้งเห่าทั้งหอน จนขนที่ขึ้นบนสันหลังลุกชัน พลางวิ่งวนไปวนมาจนดูสับสนไปหมด ก่อนมันจะวิ่งห่างจุกตูดเข้ามาหลบข้างกองไฟ เพราะเสียงลม ที่เหมือนถูกเป่าออกมาจากโพรงอะไรสักอย่าง

“ฟู่ววว”

“แอ๋ออ”ไม่ทันได้กระพริบตา ลูกช้างป่าวัยเยาว์ขนาดเท่าโอ่งมังกรย่อมๆ ไม่รู้ย่องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ๆก็วิ่งพรวดออกมาจากชายป่า ก่อนที่มันจะหยุดชะงัก เพราะเจ้าพะเปรียวกระโจนเข้าไปขวางทาง พลางไล่เห่าไล่กัดเจ้าลูกช้างตัวนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่แทนที่เจ้าตัวจะถอยหนี ตรงกันข้าม มันกลับวิ่งไล่เอางวงจับเจ้าพะเปรียว เหมือนเด็กๆวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกสนุกไปกับมันด้วยก็คือ แม่ของมันนั่นเอง ทันทีที่เจ้าพะเปรียวไล่กัดลูกน้อยของมัน เสียงเหมือนแตรรถบรรทุกก็ดังกระหึ่มจนแสบแก้วหู พร้อมๆร่างใหญ่ทะมึนของช้างพัง ก็โผล่พรวดออกมาจากชายป่า

“แปร๋น!!”

“ฟู่ววว”แม่พังร่างยักษ์ไม่รอช้า เมื่อเห็นศัตรู ที่คิดหมายจะทำร้ายลูกอันสุดที่รักของมัน งวงที่ม้วนจุกอยู่ที่ปาก ก็พลันเหวี่ยงหมายที่จะกระชากร่าง ของไอ้ศัตรูตัวจ้อย ที่บังอาจมารังแกลูกน้อยของมัน เอามาฟาดกับพื้นให้แหลกเหลว แต่มันก็ไม่ไวเท่า ถึงตัวจะมีขนาดใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความใหญ่โตของมันจะทำให้มันไวขึ้น และที่สำคัญ เหยื่อที่มันหมายจะขยี้ให้แหลกยับ ไม่ได้เชื่องช้าให้มันจับได้ง่ายๆ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เจ้าพะเปรียว มีหรือจะเสียเหลี่ยมหมาพราน แม่พังเหวี่ยงงวงมาทางนี้ เจ้าพะเปรียวกระโจนอ้อมไปทางนั้น แม่พังเผลอหน่อย เจ้าพะเปรียวก็ไล่งับแข้ง งับขาพัลวัน ถึงแม้เขี้ยวของเจ้าพะเปรียว จะไม่ได้ทำให้หนังของแม่พังร่างยักษ์ระคายผิวแม้แต่น้อย แต่มันกลับยิ่งทำให้เจ้าของร่างยักษ์ร่างนั้น ทวีความโกรธเกรี้ยวมากขึ้นเป็นทวีคูณ ครั้นจะกระทื บให้จมตีน ก็ต้องผิดหวังเพราะกว่าจะง้างตีนขึ้นลง เจ้าพะเปรียวก็เผ่นไปเสียแล้ว

          ท่ามกลางความตกตะลึงของคณะ ที่ไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว กับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ช้างพังตัวใหญ่มหึมากำลังเล่นเอาเถิดเจ้าล่ออยู่กับเจ้าพะเปรียวอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่า แม่พังใหญ่จะให้ความสนใจมนุษย์ทั้งแปด ที่ตอนนี้พากันยืนจังก้าขาแข็งไม่ขยับเขยื้อน แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็พลันเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ ลูกอ่อนของมันที่ยืนหูกางอยู่นั้น ก็หันมาเห็นคณะทั้งแปดเขาอย่างจัง และเช่นเคยแทนที่เจ้าช้างน้อยจอมซุกซน จะถอยหนี มันกลับวิ่งหางชี้มาทางคณะทั้งแปดอย่างไม่รีรอ ราวกับว่า สิ่งที่มันเห็น คือของเล่นชนิดใหม่ของมัน เท่านั้นเองใครคนใดคนหนึ่งในคณะ ก็แหกปากร้องลั่น

“วิ่ง!”

“หนีไปที่ตีนเขานั่นเร็ว!!”ไม่ทันได้หันไปมอง ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสมาชิกคนไหน และคงไม่มีใครอยากรู้ในตอนนี้ สิ้นเสียงปริศนา ที่ดังราวกับปืนที่ใช้ยิงในจุดสตาร์ทวิ่ง  เครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องใส่เกียร์อยู่ก่อนแล้ว ก็พลันยกคลัตช์ออกตัวกันจนล้อฟรี ทุกคนต่างตาลีตาเหลือก หันหลังวิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิต ชนิดที่ว่าคนละทิศคนละทาง ไม่ต่างอะไรจากผึ้งที่แตกรังเมื่อถูกไฟ เมื่อนั้นเอง ทันทีที่มีการเคลื่อนไหวของมนุษย์ทั้งแปด เสียงร้อง แปร๋น จนแสบแก้วหูก็ดังสนั่น พร้อมๆกับพื้นดินที่สะเทือน ราวกับแผ่นดินไหว 

“เร็ว!!”

“ไปที่ตีนเขาให้เร็วที่สุด”พรานเบตะโกนจนสุดเสียงบอกคณะ พูดจบก็เล็งปากกระบอกปืนขึ้นฟ้า แล้วเหนี่ยวไกปืนทันที

“ตูม!...”

“แปร๋น..!!”กัมปนาทราวกับฟ้าสะเทือนก็ดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงร้องแสบแก้วหูของภูเขาเคลื่อนที่อย่างโกรธเกรี้ยว

“ครึก..ครึก”

“ฟู่ววว”

“แปร๋น...แปร๋น”สิ้นเสียงแผ่นดินสะเทือน และเสียงร้องระงม ร่างยักษ์ของช้างป่าหลายเชือก ก็โผล่พรวดออกมาจากเงามืด กองฟืนที่เปรียบเสมือนเป็นกำแพงฉากกั้น มาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะสามในสิบเชือก ใช้งวงกระชากปลายท่อนฟืนที่สุมเป็นกอง เหวี่ยงออกกระจุยกระจายไปรอบทิศทาง บางเชือกก็ใช้งวงจับท่อนฟืนฟาดลงกับพื้น บางเชือกก็ใช้ตีนกระทื บอย่างไม่กลัวว่าสิ่งที่มันเหยียบอยู่จะร้อน และบางเชือกก็แสดงความโกรธเกรี้ยวด้วยการระบายกับต้นไม้ต้นไร่รอบด้าน ทั้งกระชากต้นไม้และเถาวัลย์ ลงมาฉีกทึ้งเหวี่ยงไปมา แต่ภาพที่เห็นยังไม่ทำให้ใจหายเท่า เพราะไอ้งายาวร่างใหญ่เชือกหนึ่ง ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทิศทางใด ก็ตรงรี่บุกตะลุยมาทางคณะอย่างไม่หวั่นเกรงต่อเสียงปืน ที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

“เฮ้ย!”

“มันมาทางเราแล้ว หนีเร็ว!”พรานชราร้องลั่น แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนใจหายวูบก็พลันเกิดขึ้น เพราะเสียงและภาพที่เห็น

“ว๊าก...”

“อุบ...ว”ไม่รู้ว่าเจ้าเหน๋อ ไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรไว้ กับไอ้พูนรากไม้รากนั้น เพราะในขณะที่เจ้าตัวตาลีตาเหลือกเอาชีวิตรอดสุดกำลัง เท้าข้างเดิมดันไปสะดุดเอาพูนรากไม้เข้าอย่างจัง จนหน้าคว่ำ กระแทกพื้นดังโครม

“ไอ้เหน๋อ!”พรานเบร้องเสียงหลง เมื่อเหลียวไปเห็นเจ้าเหน๋อนอนหน้าคะมำกองอยู่กับพื้น ติดตามมาด้วยร่างใหญ่มหึมาที่บุกตะลุยฝ่าดงเถาวัลย์มาอย่างกระชั้นชิด

“ลุก!”

“ระ..ระ..เร็วเข้า ไอ้เหน๋อ เอ็งรีบลุกขึ้นเร็ว”พรานพรตะโกนบอกละล่ำละลัก ส่วนเจ้าคนที่นอนกองอยู่กับพื้น ไม่รู้ว่า ไม่มีแรงลุก หรือระบบประสาทการสั่งการไม่ทำงาน ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะเจ้าคนที่นอนกองอยู่นั้น ในตอนนี้ ทำได้แต่นอนหมอบนิ่งเอาแขนทั้งสองข้างคลุมหัวตัวเอง พลางหลับตาปี๋อย่างหวาดเสียวอยู่เช่นนั้น และดูเหมือนว่าใครก็แล้วแต่ จะแหกปากร้องบอกขนาดไหนก็ไม่เป็นผล

          ในเสี้ยววินาทีเป็นวินาทีตาย ก่อนที่ไอ้งายาวจะมาถึงตัวเหยื่อของมันด้วยความแค้น ร่างของเจ้าเหน๋อที่นอนหลับตาปี๋อยู่นั้น ก็พลันถูกกระชากให้ลอยขึ้น ด้วยความตกใจสุดขีดจนแทบจะสิ้นสติ เพราะมีอะไรบางอย่างมากระชากคอเสื้อจนตัวเองลอย เจ้าเหน๋อก็พลันแหกปากร้องดังลั่น

“อ๊ากส์”

“ชะ..ช่วยด้วย”คนถูกกระชาก ร้องละล่ำละลัก พร้อมใช้มือปัดป้องพัลวัน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงตวาดลั่นจนแสบแก้วหู

“ไอ้ห อก”

“ข้าเอง...จะร้องหาโคต รพ่อโคต รแม่เอ็งรึ”ราวกับเสียงให้พรจากเทวดาบนสวรรค์ เสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะมันเป็นเสียงของ สิงห์เพื่อนเกลอของเขานั้นเอง

“อยากโดนกระทื บนักรึไงเอ็ง”

“เร็วเข้า!”เพื่อนเกลอ ที่ดูเหมือนว่าในตอนนี้จะเป็นเทวดามาโปรดเจ้าเหน๋อ ตวาดกลอกหู

“นั่นทางนั้น!”

“เขาไปหลบในดงนั้นเร็วเข้า”ชายหนุ่มละล่ำละลักบอกเพื่อนเกลอ

“เฮ้ย!!”

“พวกข้าอยู่ทางนี้ หาที่กำบังไว้!”พรานเบร้องบอกมาจากชายเขา พลางส่องไฟฉายบอกตำแหน่งให้คนทั้งสองวูบวาบ แต่มันก็ช้าไปเสียแล้วที่พรานเบจะร้องบอกใดๆกับคนทั้งสอง เพราะทางที่คนทั้งสองบุกไปนั้น มันเป็นทางตัน

“แปร๋น!!”

“โผล๊ะ....ซวบ!”

“ตูม!”

“เปรี้ยง....ง!”กัปนาทจากอาวุธสารพัดชนิด เท่าที่คณะทั้งหมดมี ก็ลั่นขึ้นดูสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเสียงปืนที่ดังเป็นของใคร แต่แทนที่ช้างโขลงนั้น จะเกรงกลัวต่ออำนาจของเสียงปืนที่ยิงขู่ เพื่อหวังสกัดกั้น พวกมั นกลับบุกตะลุยมาทั้งโขลง จนป่ารกที่รายล้อมพวกมัน หักลู่ไปเป็นแถบๆ

“ฉิ บหายใหญ่แล้ว”

“ไอ้สองคนนั้น มันไปทำอะไรตรงนั้นวะ”พรานแปะร้องออกมาอย่างร้อนรน

“ยิง!”

“ยิงสกัดพวกมั นไว้ก่อน”พรานพรร้องสั่ง”

“พี่สิงห์!”

“วู้...พวกเราอยู่ทางนี้”เจ้าเคิ้งป้องปากตะโกนเรียงชายทั้งสองแข่งกับเสียงปืน พูดจบก็ลั่นปืนแก๊ปคู่กายดังตูมสนั่น

          โดยการนำทับของไอ้งายาว ที่พาลูกโขลงของมันทั้งหมด กระจายกำลังปิดล้อมบริเวณที่บุคคลทั้งสองเข้าไปซุกตัวอยู่ เพื่อหวังจะกระชากคนทั้งสอง ออกมากระทื บให้แหลกเหลว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆอย่างที่พวกมันคิดไว้ เพราะเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงระยางเป็นจำนวนมาก เป็นอุปสรรคคอยกีดกั้นคนทั้งสองเป็นอย่างดี ยิ่งพวกมั นบุกตะลุยเข้ามาลึกเท่าไหร่ ชายทั้งสองก็แทรกตัวมุดเข้าไปในดงเถาวัลย์มากเท่านั้น เพราะคนตัวเล็กกว่าช้างจึงสามารถคลานไปไหนต่อไหนได้สะดวกกว่าช้างที่ขนาดตัวใหญ่

“เอาไงดีวะไอ้สิงห์”

“ข้าว่าพวกมั นคงไม่ปล่อยเราสองคนไว้แน่ๆ”เหน๋อร้องบอก ทำเสียงเหมือนกับจะร้องไห้

“หนีเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”

“ข้าว่า อยู่ในดงนี้ ยังไงพวกมั นก็เข้าไม่ถึงตัวเรา”ชายหนุ่มร้องบอกเพื่อนเกลอ

“แล้วเอ็งจะไปทางไหน ทั้งมืดทั้งรกแบบนี้”

“ข้าว่าฉายไฟดูทางเสียหน่อยน่าจะดี ขืนไปมืดๆแบบนี้ มีหวังได้หลงกันตาย”เจ้าเหน๋อเสนอความคิด พลางหยิบไฟฉายออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่ไม่ทันไฟฉายกระบอกนั้นจะหลุดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มก็รีบตะคุบมือของเพื่อนเกลอไว้

“อย่า!”

“เอ็งจะบ้ารึ ไม่เห็นเรอะ ว่าพวกมั นล้อมเราไว้หมดทุกด้าน ยกเว้นด้านที่เราจะไป ขืนส่องไฟออกไป มันอาจจะเห็นเราก็ได้”ชายหนุ่มอธิบายเพื่อนสนิท จากนั้นก็พูดต่อขึ้นมาอีกว่า

“อยู่มืดๆแบบนี้ดีที่สุด”

“รอจนกว่าพวกมันจะไป แล้วเราค่อยคลานย้อนกลับออกไปที่เดิม”

“แล้วถ้าพ วกมันไม่ยอมไปล่ะ”

“เราสองคนไม่แย่รึ?”เหน๋อร้องถาม พลางคุกเขาตามสิงห์ไปเบื้องหน้า

“เรื่องนั้นเอาไว้แก้กันทีหลัง”

“เวลานี้ เอาชีวิตรอดไว้ก่อน เอ็งไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างน้อยๆ ก็มีข้าอยู่เป็นเพื่อน”ชายผู้ช่วยชีวิตเพื่อนเกลอของเขาไว้ กล่าวออกมาอย่างปลอบขวัญ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องหยุดชะงัก จนคนที่คลานตามหลังหยุดตามไปด้วย

“มีอะไรไอ้สิงห์”

“ทำไมไม่ไปต่อ”เหน๋อร้องถามมาจากทางด้านหลัง

“ทางตันวะเพื่อน”

“เป็นไปได้ยังไงว่ะ”ชายหนุ่มร้องบอก พลางใช้มือกวาดคลำไปเบื้องหน้า

“เฮ้ย!”

“อะ...เอ็งอย่าพูดแบบนี้ซิวะ ดูให้ดีก่อน”เหน๋อร้องบอกเสียงสั้น

“ไม่มี มีแต่หิน!”

“ดะ ดะเดี๋ยว”

“เหมือนจะมีโพรงอะไรสักอย่างทางด้านนี้วะ”ชายหนุ่มหันมาร้องบอก

“โพรงอะไรของเอ็งว่ะ?”

“มีงูเงี้ยวเขี้ยวขออยู่หรือเปล่า อย่าเอามือไปควานส่งเดช!”เหน๋อร้องเตือนเพื่อนสนิท

“ข้าว่าไม่ใช่โพรงธรรมดาเสียแล้ววะ”

“น่าจะเป็นถ้ำมากกว่า”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางคลานสำรวจไปรอบๆบริเวณปากโพรงนั้น

“ฉายไฟซิไอ้เหน๋อ แต่เอาแค่แวบเดียวนะ ฉายเป็นจังหวะๆ พร้อมยัง!”ชายหนุ่มร้องบอก

“พร้อม”คนถือกระบอกไฟฉายร้องตอบ

“1...2...3”

“เปิด!”

          ทันทีที่สวิทช์ถูกเลื่อนไปที่ตำแหน่งเปิด ภายใต้ความมืดมิดเช่นนี้ เพียงแวบแรกที่ได้เห็น คนทั้งสองต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า จนทำอะไรต่อไม่ถูก เหมือนกับร่างกายจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ โดยเฉพาะเจ้าเหน๋อถึงกับยืนตาค้าง ไฟฉายที่ถือส่องจับอยู่เบื้องหน้าพลันหลุดออกจากมืออย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่มันจะกลิ้งกรุกๆ โดยหันปากกระบอกที่มีลำแสง ฉายลึกเข้าไปในปากโพรงนั้น ซึ่งเท่าที่เห็นมันลึกเข้าไปเสียจนลำแสงของกระบอกไฟฉายกระบอกนั้น ไม่สามารถฉายไฟเข้าไปถึง.....

*****ปากโพรงที่ชายทั้งสองพบนั้นมาจากไหน?  แล้วช้างป่าคู่แค้นโขลงนั้นล่ะ พวกเข้าจะรอดหรือไม่! โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป!!!*****

ผิดพลาด ตกหล่นประการใด ผม หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9
ภาพที่ 2
ผมเองครับน้าๆ ดูหนังหน้ากันชัดๆ ฮาๆ เจอที่ไหนทักทายกันบ้างนะครับ

ปล.รูปบน คือเปลที่ผมใช้นอนเป็นประจำครับ แนะนำให้ใช้ครับ ราคาประมาณ แบบไม่มีหลังคา 300(โรงเกลือ) แบบมีหลังคา 400-750 ครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9
ภาพที่ 3
อยู่ในป่า ไม่มีอดตายครับ ถ้ารู้วิธีหาเอามากิน ธรรมชาติอุดม อาหารก็อุดมตามไปด้วย ดังนั้นต้องช่วยกันรักษ์ธรรมชาตินะครับ ทั้งป่าและแหล่งน้ำ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้าครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9
ภาพที่ 4
ช่วงเวลากลางคืน ที่ไม่มีแสงสีหรือทีวี ไว้คลายเหงา ในป่าแบบนี้มีแต่กองไฟ และนิทานที่บอกเล่าเรื่องต่างๆ เป็นสิ่งบันเทิงใจดีนักแล
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9
ภาพที่ 5
เอาเงาะป่าไปกินเล่นสักลูกสองลูกมั๊ยครับ..
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024