สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 29 เม.ย. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท) : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 12 - [6 ก.ย. 55, 14:07] ดู: 3,309 - [27 เม.ย. 67, 17:18] โหวต: 8
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท)
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
21 ก.พ. 55, 10:02
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท)
ภาพที่ 1
บทที่ 9

ตอนที่ 10

          ตำแหน่งนี้เอง ที่เป็นตำแหน่งของปากโพรงขนาดใหญ่ หรือจะเรียกว่าถ้ำขนาดยักษ์ก็ไม่ผิด แม้ว่าปากทางจะกว้างไม่เกินจากสามสี่ว่า เมื่อคะเนด้วยสายตา แต่ความสูงของมันนั่นเอง ที่ทำให้ชายทั้งสองอดที่จะประหลาดใจเสียไม่ได้ กำแพงหินที่สูงสุดลูกหูลูกตา และดูเหมือว่ามันจะทอดตัวขวางกั้นเป็นแนวยาวขนานออกไปทั้งสองข้าง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับกำแพงเมืองจีน ที่ถูกเสกให้มาตั้งไว้อยู่กลางป่า

“....”

“อะ..อะ เอ็งเห็นเหมือนที่ขาเห็นหรือเปล่าวะไอ้สิงห์”เหน๋อละล่ำละลัก

“อ...เออ ข้าก็เห็นแบบเดียวกับเอ็งนั้นแหละ”

“ถ้ำอะไรมันจะใหญ่โตขนาดนี้”สิงห์ตอบออกมาเสียงสั้นๆ

“เอายังไงต่อดีเพื่อน”

“พวกเราจะเข้าไปหลบไอ้ช้างผีพวกนั้นดีหรือเปล่า”เหน๋อร้องบอกอย่างร้อนรน เพราะได้ยินเสียง ซู่ซ่า มาจากทางด้านหลัง

“พูดเป็นเล่นไปได้!”

“มีตัวอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่าเราก็ไม่รู้”ชายหนุ่มตอบปฏิเสธ

“แล้วจะเอายังไงดีวะ”

“ข้าว่าพวกมั นกำลังบุกเข้ามาเรื่อยๆแล้ว”เหน๋อพูดออกมาด้วยอาการพะว้าพะวง พลางหันไปรอบๆทิศทางที่ตอนนี้ได้ยินแต่เสียง ช้างร้อง แปร๋นๆ รายล้อมไปทุกด้าน

“ถ้าไม่เข้าไปหลบในถ้ำ ก็คงต้องปีนหน้าผานี้”

“ไม่งั้นพวกเราไม่มีทางรอดแน่ๆ แต่ในถ้ำจะมีอะไรอยู่หรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เอาแบบนี้ เราปีนขึ้นไปหลบบนหน้าผาดีกว่า น่าจะปลอดภัย”ชายหนุ่มเสนอความคิด

“จะไหวหรือว่ะ”

“สูงขนาดนั้น แง่หินก็ไม่ค่อยมีจะให้เยียบ!”เหน๋อพูดพลางส่ายหัวไปมา

“ไม่ค่อยจะมี ก็ไม่ได้แปลว่าจะ ไม่มี”

“โน่นไง เถาวัลย์! พวกเราไต่เถาวัลย์ขึ้นไปก็ได้”สิงห์พูดพลาง ชี้กระบอกไฟฉายไปยังเถาวัลย์ ที่ห้อยระโยงรยางค์อยู่กับผนังหน้าผา

“เอ็งเห็นบนนั้นหรือเปล่า”

“ถ้าเราไต่ไปถึงชั้นหินตรงนั้นได้ พวกเราก็รอดแล้ว”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากฉายไฟไล่ไปตามเส้นเถาวัลย์ ที่ห้อยตัวผ่านชะง่อนหินตอนหนึ่ง ซึ่งสูงจากพื้นไม่ต่ำกว่าสิบเมตร และมันก็มีอยู่เพียงที่เดียวเท่านั้น ที่พอจะให้คนทั้งสองขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นได้ นอกนั้นเป็นผนังหินเรียบไปหมด แทบจะไม่มีที่ให้เหยียบเลย นอกเสียจากจะต้องไต่ไปตามเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาตามหน้าผา ซึ่งคงไม่เหมาะแน่ในสถานการณ์เช่นนี้  เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ การที่บุคคลทั้งสอง จะกลายมาเป็นนักไต่หน้าผาจำเป็น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากกระตุกเถาวัลย์เพื่อทดสอบความแข็งแรงจนแน่ใจ ว่าเถาวัลย์เส้นที่จะใช้ปีนไต่แทนเชือกไปนั้น จะไม่ขาดเสียกลางคัน การไต่หน้าผาจึงเกิดขึ้นในบัดนั้น

“เอ็งขึ้นไปก่อนก็แล้วกัน”

“เดี๋ยวข้าจะคอยฉายไฟให้ รีบขึ้นไป อย่าช้า!”ชายหนุ่มร้องบอกเพื่อนเกลอ

“อ้าว!”

“แล้วเอ็งล่ะ?”เหน๋อหันมาร้องถาม ขณะที่ยืนจับเส้นเถาวัลย์แช่อยู่เช่นนั้น

“ข้ากลัวมันรับน้ำหนักของเราสองคนไม่ไหว”

“ถ้าขืนมาขาดเอาตอนนี้ ได้ซวยกันหมด”

“รีบปีนขึ้นไปเถอะนา ไม่ได้ยินรึ! พวกมั นใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”ชายหนุ่มร้องเร่งเพื่อนสนิท ท่ามกลางเสียงอึกทึกรอบกาย

“เอาไงเอากันวะ!”

“เอ็งรีบตามขึ้นมาก็แล้วกันไอ้สิงห์”เหน๋อหันมาร้องบอกเพื่อนเกลอ พูดจบก็รีบสาวเส้นเถาวัลย์ปีนไต่ไปตามหน้าผาชัน ท่ามกลางการเฝ้ามองของสิงห์ ที่คอยส่องไฟบอกทางให้เป็นระยะๆ ไม่กี่อึดใจ คนที่ปีนก่อนก็ขึ้นไปยื่นเด่นอยู่บนชะง่อนหินโดยสวัสดิภาพ

“โยนไฟฉายขึ้นมา”

“เดี๋ยวข้าจะส่องไฟให้”คนที่ขึ้นไปก่อน ร้องบอกคนที่อยู่เบื้องล่าง

“อย่าเสี่ยง!”

“มืดๆแบบนี้จะไปเห็นอะไร ถ้าเอ็งเกิดรับไม่ได้ มันจะพังเสียเปล่าๆ ของยิ่งมีจำกัดอยู่ เอาอย่างนี้ ข้าจะผูกไว้กับเถาวัลย์ แล้วเอ็งค่อยๆสาวขึ้นไปจะดีกว่า”ชายหนุ่มร้องบอก พูดจบก็เลือกเส้นเถาวัลย์เส้นเล็กๆได้เส้นหนึ่ง จากนั้นก็นำมาม้วนพันรอบไฟฉาย เมื่อเรียบร้อยดีแล้วก็ร้องเรียกให้คนที่อยู่ด้านบนสาวขึ้นไป ไม่กี่อึดใจลำไฟฉายก็ถูกส่องสว่างจ้า ลงมาจากด้านบน

“เรียบร้อยเพื่อน”

“รีบปีนขึ้นมาเร็ว!”เหน๋อร้องบอก พลางฉายไฟลงมาบอกทิศทาง ชายหนุ่มรอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว เมื่อแสงไฟฉายส่องกระทบตำแหน่งที่หมาย มือที่จับแน่นอยู่กับเส้นเถาวัลย์ จึงค่อยดึงตัวเองขึ้นอย่างระมัดระวัง ไม่กี่อึดใจหลังจากพยายามไต่มาอย่างทุลักทุเล ในที่สุดก็มาถึงตำแหน่งชะง่อนหิน ที่เพื่อนเกลอขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว

“พวกเรารอดแล้ว!”

“ต่อให้มันยืนสองขา ก็ทำอะไรเราไม่ได้”ชายหนุ่มพูดออกมาอย่าโล่งอก ก่อนที่จะนอนแผ่หลาบนชะง่อนหินนั้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง

“ไม่รู้พวกเราที่เหลืออยู่แถวไหน?”

“ได้ยินแต่เสียงปืน”เหน๋อร้องบอก พลางส่องไฟไปมาทั่วบริเวณ ถึงจะอยู่บนที่สูง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้เปรียบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า เพราะป่าสูงและเถาวัลย์ที่ขึ้นอยู่หนาแน่น ปกปิดทัศนีย์ภาพ

“มองไม่เห็นอะไรเลยวะ มืดก็มืดรกก็รก!”

“มีแต่ต้นไม้กับเถาวัลย์”เหน๋อร้องบอก หลังจากพยายามส่องไฟสำรวจอยู่นาน

“วู้...วู้...”

“ทางนี้...พวกผมอยู่ทางนี้”สิงห์ป้องปากตะโกนออกไปสุดเสียง แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะนอกจากเสียงช้างร้องและป่าแตกที่ดังอยู่เบื้องล่างแล้ว ไม่มีเสียงตอบกลับจากทางคณะเลย นอกจากเสียงปืน ที่นานๆครั้งจะลั่นขึ้นมาให้ได้ยินสักนัดหนึ่ง เหมือนเป็นการยิงเพื่อบอกสัญญาณหรือตำแหน่งเสียมากกว่า

“ไม่ได้ความ”

“สงสัยต้องยิงปืนเรียกดู เผื่อจะได้ยิน”สิงห์พูดจบ ก็กระชากลูกเลื่อน แล้วเหนี่ยวไกทันที

“เปรี้ยงง...”

“....”

“มาข้าช่วย”เหน๋อพูดจบก็ล้วงปืนลูกโม่ขนาด.22 ออกมาลั่นไกแบบไม่นัด

“เปรี้ยง..เปรี้ยงๆๆๆ”

          ทั้งสองพยายามอยู่หลายครั้ง จนหมดลูกกระสุนปืนไปหลายชุด ในที่สุดเสียงปืนที่ดังจากฝ่ายคณะที่เหลือก็ยิงตอบกลับมา ทำให้ชายทั้งสองพอจะคาดเดาตำแหน่งของบุคคลที่เหลือได้ รวมถึงฝ่ายตรงข้าม ก็พอจะเดาตำแหน่งของคนทั้งสองได้เช่นกัน และยิ่งกว่านั้นคือ อย่างน้อยๆ บุคคลที่พลัดไปจากคณะ ยังมีชีวิตอยู่

“เฮ้ย!”

“เสียงปืนของพวกไอ้สิงห์นี่หว่า”พรานโส่ยร้องบอก

“เออใช่”

“ไอ้สองคนนั่นคงรอดแล้ว”พรานพรว่ามาอีกคน พูดจบก็เหนี่ยวไกปืนลูกซองคู่กายดัง ตูม สนั่น สิ้นเสียงกัปนาท ที่ดังสะท้านไปทั้งหุบเขา ทันใดนั้นเอง ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงปืนของบุคคลทั้งสองดังแว่วตอบกลับมา

“เปรี้ยง...เปรี้ยง....เปรี้ยง...”

“นั่นไง!”

“ชัดเลย ไอ้สองคนนั้นยังอยู่”พรานแปะร้องบอกอย่างยินดี

          เหตุการณ์ชุลมุนกินเวลาไปกว่าชั่วโมง ท่ามกลางความมืดมิด ที่ทั้งส่องฝ่ายต่างไม่เห็นซึ่งกันและกัน ทางฝ่ายพรานเบก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า ชายทั้งสองที่พลัดหลงจะหลบซุกซอนอยู่บริเวณใด ในป่าเถาวัลย์ ครั้นจะยิงสุ่มเพื่อไล่ช้าง ก็กลัวว่าจะพลาดโดนพวกเดียวกันเอง และปืนที่มีอยู่ก็มีอำนาจไม่เพียงพอที่จะล้มพวกมันลงได้ ตรงกันข้ามอาจทำให้พวกมันบาดเจ็บ พาลให้โกรธแค้นขึ้นไปกว่าเดิม ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ การยิงขู่พวกมันเท่านั้น เพื่อหวังแค่เพียงว่า เสียงของปืนที่ดังออกไป จะช่วยทำให้พวกมันตื่นตกใจ แต่พยายามจนหมดลูกปืนไปหลายชุด ก็ไม่ได้ช่วยให้พวกมันหนีไปได้เลย จนในที่สุดการพยายามก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผล เพราะสัญญาณในทางที่ดีบางอย่างก็ปรากฏขึ้น

“เอ็งได้ยินหรือเปล่า”

“ข้าว่ามันเงียบๆยังไงชอบกล”เหน๋อหันมากระซิบบอกสิงห์ พลางทำท่าตะแคงหูฟัง

“เออวะ”

“จริงของเอ็ง สงสัยพ วกมันกำลังถอย”ชายหนุ่มกระซิบตอบ

“ลองฉายไฟดูหน่อยดีมั๊ย”

“จะได้รู้ชัดกันไปเลย”เหน๋อร้องถามอย่างร้อนรน

“ข้าว่าอยู่มืดๆแบบนี้ไปสักพักจะดีกว่า”

“ดูเชิงมันไปก่อน เผื่อว่ามันยังอยู่ใกล้ๆเรา ถ้าเกิดเห็นไฟที่เราฉายออกไป มันอาจจะไม่ยอมไปไหนก็ได้”ชายหนุ่มอธิบาย

“เอ็งไม่เห็นเรอะ ฝั่งทางที่พวกเราอยู่ก็เงียบเหมือนกัน”

“ปืนสักนัดก็ไม่ได้ยิน”เหน๋อร้องถาม เรื่องเสียงปืน ที่เคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ แต่บัดนี้มันกับเงียบสงัด อย่างผิดสังเกต

“คงจะคอยดูเชิงแบบพวกเรานั้นแหละ”ไม่ทันที่คนทั้งสองจะปรึกษาอะไรกันต่อ เสียงการเคลื่อนไหว ของช้างป่าทั้งโขลง ที่เคยก่อวอดอยู่ในป่าเถาวัลย์เบื้องล่าง ก็ค่อย
ดังห่างออกไปเรื่อยๆ

“นั้นไง มันกำลังไปแล้วจริงๆ”

“โล่งอกไปที”สิงห์ร้องบอกเพื่อนเกลออย่างโล่งอก พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเช็ดเหงื่อ

“แล้วเราจะเอายังไงกันต่อ”

“จะรอพวกทางโน่นมาหาเรา หรือว่าเราจะเป็นฝ่ายออกไปหา”เหน๋อร้องถาม

“เอาอย่างหลังดีกว่า”

“ข้าว่า พวกเราทางโน่น คงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพว กมันไปแล้วหรือยัง”

“ไม่เหมือนเราสองคนที่อยู่ตรงนี้”สิงห์ตอบ

          ท่ามกลางความเงียบสงัดของผืนป่า เวลานี้คนทั้งสองแทบจะจำแนกเสียงอะไรไม่ได้เลย นอกเสียจากนานๆครั้งจะมีเสียงหักของไม้แห้งให้ได้ยิน แต่มันก็ไกลออกไปจากบริเวณนี้มาก รวมถึงเสียง เป่าลมดัง ฟู่ ที่แว่วมาให้ได้ยินสักครั้ง  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันคงเป็นเสียงการเคลื่อนไหว ของช้างป่าโขลงนั้นอย่างแน่นอน เมื่อสถานการณ์พลิกกลับ จากร้าย เริ่มจะกลายเป็นดี ยิ่งทำให้คนทั้งสองมีความมั่นใจว่า ช้างป่าโขลงนั้นคงถอยหนีเขาป่าไปหมดแล้ว

“ได้เวลาเผ่นไปจากที่นี่เสียที”

“ข้าว่ามันไปกันหมดแล้ว”เหน๋อร้องบอก

“ข้าก็คิดแบบเอ็ง”

“เอาเป็นว่า เราลองส่องไฟดูกันดีกว่า”เพื่อความแน่ใจของคนทั้งสอง แสงของไฟฉายกระบอกนั้น จึงสว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆกับกราดไปมาทั่วทั้งบริเวณ แต่ก็ทำไปได้ด้วยความลำบาก เพราะมีต้นไม้ใหญ่และเครือเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมบริเวณนั้นจนหนาแน่น

“เดี๋ยวข้าจะลงไปก่อน”

“เอ็งส่องไฟนำทางให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน”ชายหนุ่มร้องบอก

“จะเอาแบบนั้นรึ?”

“ระวังหน่อยนะเพื่อน”เหน๋อร้องเตือนเพื่อนสนิท สิงห์ไม่เอ่ยคำใดๆ นอกจากโบกมือ เป็นสัญญาณว่าตัวเองไม่เป็นไรไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นจึงจะค่อยๆสาวเส้นเถาวัลย์เส้นเดิม ที่เคยใช้ปีนไต่ขึ้นมา ค่อยๆโรยตัวไต่ลงไปอย่างระมัดระวัง

          ท่ามกลางแสงไฟฉายที่ส่องจ้ามาจากด้านบน ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของคนทั้งสองน่าจะจบลงได้ด้วยดี อย่างที่คาดคิดไว้ แต่ใครเลยจะหารู้ไม่ว่าภายใต้เงามืดนั้น จะมีดวงตาคู่หนึ่งเฝ้าคอยจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของชายหนุ่มแตะถึงพื้น แผ่นดินที่ตัวเองยืนอยู่ได้ไม่ถึงวินาที ก็พลันสะเทือนขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ห๊า..ไอ้สิงห์!!!”

“ระวัง”เหน๋อร้องตะโกนจนสุดเสียง เมื่อเห็นไอ้ร่างยักษ์โผล่พรวดออกมาจากซุ้มเถาวัลย์ แต่มันก็ช้าไปเสียแล้วกับการร้องเตือนบอกเพื่อนสนิท เพราะไม่ทันที่สิงห์จะหันไปดูว่าอะไรเป็นอะไร ร่างกายของเขาก็เหมือนจะถูกกระชากให้ลอยขึ้นไปในอากาศ จนปืนที่สะพายไหล่ไว้หลุดกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง

          ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของไอ้งายาว ที่ซ่อนกลอำพรางเอาไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งมันทำทีให้ลูกโขลงถอยห่างออกไป แสร้งเหมือนกับว่า พวกมั นจนปัญญาแล้วที่จะตามล้างตามผลาญพวกมนุษย์ผู้บุกรุก แต่ตัวมันเองนั้นล่ะ ที่อดทนรออยู่ในเงามืด เพื่อรอจังหวะที่จะบดขยี้เป้าหมายของมันอย่างใจเย็น และสิ่งที่มันอดทนเฝ้ารอก็ไม่เสียเปล่า เพราะต่อไปนี้เหยื่อที่ดิ้นไปมาอยู่ในงวงมัจจุราชของมัน จะต้องแหลกเหลวสมใจอยาก อย่างที่มันตั้งใจไว้ ไอ้งายาวผยองใจเช่นนั้น แต่ไม่ทันที่จะทำอะไรเหยื่อของมันได้อย่างที่คิด เสียงรัวระยิบ ราวกับประทัดงานตรุษจีนก็ดังขึ้น

“เปรี้ยง.!”

“เปรี้ยงๆๆๆ!!”ไม่ใช่ใครที่ไหน เหน๋อเพื่อนเกลอของสิงห์นั้นเอง ที่เป็นคนลั่นกระสุนเสียจนหมดโม่ ถึงแม้จะเป็นกระสุนที่มีขนาดเล็ก ซึ่งไม่มีอำนาจพอที่จะทำให้ละคายผิวของไอ้ช้างงายาวได้ แต่เป้าอันบอบบางของลูกนัยน์ตาของมันนี่สิ ที่เปรียบเสมือนจุดอ่อนสำคัญ ซึ่งตอนนี้ได้สร้างความเจ็บปวดกับมันอย่างที่สุด เพราะหนึ่งในหกลูก ที่คนลั่นไกบรรจงปล่อยออกมาจากลำเพลิง หนึ่งในนั้นถูกจุดอ่อนของมันเข้าอย่างจังจนเลือดสาด

“แปร๋นนน”

“วูบ...!”ไอ้งายาวแหกปากร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พร้อมๆกับอาการผงะ ก่อนที่จะเหวี่ยงเหยื่อในงวงของมันจนลอยออกไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง

          ไม่รู้ว่าดวงยังดี หรือนรกยังไม่ต้องการคนอย่างสิงห์ เพราะในจังหวะที่ไอ้งายาว ซึ่งตอนนี้กลายเป็นไอ้บอด หวังจะให้ร่างที่เหวี่ยงออกไปนั้นหล่นกระแทกพื้น บังเอิญทิศทางที่มันเหวี่ยงเหยื่อของมันออกไป เป็นดงเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงรยางค์ปกคลุมเต็มไปหมด ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างอะไรกับตาข่ายช่วยชีวิต แต่ก็ทำให้คนถูกเหวี่ยงจุกไม่ใช่น้อย เพราะครูดตกลงมากระแทกพื้นดังโครม และเมื่อมีโอกาสที่จะได้อยู่ดูโลกต่อไป มีหรือที่ชายหนุ่มจะนอนรอบัตรเชิญไปเยี่ยมนรกจากพญายม ทันทีที่ตั้งสติได้ ชายหนุ่มก็ตะเกียกตะกายคลานเข้าไปในซุ้มเถาวัลย์ทันที ไม่ต่างอะไรกับหนูตัวเล็กๆที่กระเสือกกระสนเข้าไปในกองฟางเพื่อหนีนกเหยี่ยว แต่ก็ต้องใจหายวูบ เมื่อเป้ที่สะพายอยู่บนหลังจะกลายมาเป็นเครื่องมือฆ่าตัวตาย เพราะมันเข้าไปขัดติดอยู่กับเส้นเถาวัลย์ ครั้นจะพยายามปลดออกจากหลัง ก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อมีอะไรบางอย่างมาชุดกระชากขา

“ฮึย!”

“แปร๋นนน...”

“ฟู่ววว”ไอ้บอดร้องออกมาอย่างเคียดแค้น เมื่อเลือดเข้าตาขนาดนี้ มีหรือ ที่จะปล่อยให้เหยื่อของมันหลุดรอดไปได้ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสิงห์กอดเครือเถาวัลย์ไว้แน่นไม่ยอมให้ตัวเองถูกลากออกมาง่ายๆ แถมไอ้บอดยังถูกก่อกวนจากบุคคลบนชะง่อนผาเป็นระยะๆ

“เปรี้ยงๆๆๆๆ”

“ไอ้สิงห์รีบหนีเร็ว!”บุคคลที่อยู่บนชัยภูมิที่เหนือกว่าร้องบอก แต่ดูเหมือนว่า กระสุนชุดนี้ ที่ปล่อยออกไป จะพลาดเป้าไม่ถูกจุดสำคัญแล้ว มันกลับเพิ่มความเจ็บแค้นยิ่งไปอีก และในจังหวะที่ไอ้งวงปีศาจ กำลังจะลากร่างของชายหนุ่มออกมา หมายจะกระทื บให้เละคาตีนนั้นเอง โดยที่ไม่มีใครได้คาดคิด เจ้าพะบอง ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน กระโจนเข้างับงวงของไอ้ช้างผีสิงจนจมเขี้ยว จึงทำให้เจ้าของเนื้อไร้กระดูก ถึงกับผงะด้วยความตกใจ รีบกระชากงวงกลับขึ้นไปในทันที ทั้งๆที่มีเจ้าพะบองงับติดงวงขึ้นไปด้วย ถึงแม้มันจะพยายามสลัดขนาดไหนก็ไม่เป็นผล เพราะสิ่งนั้นงับติดเนื้อของมันราวกับคีมเหล็ก แทนที่จะหลุด ตรงกันข้ามกลับสร้างความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากบาดแผลจากคมเขี้ยวมีอาการฉีกขาดจากการเหวี่ยง จนเลือดโชกปลายงวงไปหมด และจังหวะนั้นเอง โดยที่เจ้าพะบองเองก็ไม่ทันระวังตัว ไอ้ตาเดียวก็เหวี่ยง ร่างที่งับติดงวงของมันนั้น ฟาดเข้ากับกำแพงหินอย่างจัง

          ไม่มีแม้แต่เสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดเล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน ไม่มีแม้แววตาที่แสดงถึงความหวาดกลัวอย่างที่ผ่านๆมา หมดหน้าที่ของมันแล้ว กับหมาชราใกล้ปลดประจำการแบบมัน หมดหน้าที่ของมันแล้วที่จะต้องคอยตามรับใช้เจ้านายของมันอย่างซื่อสัตย์ และถึงเวลาแล้วที่มันจะได้พัก พักแบบไม่มีวันตื่น

          เมื่อกำจัดเสี้ย นหนามของมันได้แล้ว ไอ้บอดก็ตรงรี่มาที่เป้าหมายอันเป็นมนุษย์ของมันต่ออย่างไม่ลดละ ซึ่งตอนนี้กำลังคลานเข้าไปในดงเถาวัลย์ เห็นดังนั้นมีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ เถาวัลย์เส้นแล้วเส้นเหล่าที่ถูกมันกระชากออกมาอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางความมืดมิด โดยไม่คิดหวั่นต่อลูกปืนที่ประเคนใส่ลำตัวของมันชนิดที่ว่าไม่นับ จนเลือดโชกไปทั้งตัว จากคืบเป็นศอก จากศอกเป็นวา ที่ลำตัวอันใหญ่โตของมันเขาบดขยี้ในดงเถาวัลย์นั้น

          ในจังหวะที่ไอ้ยักษ์ตาเดียวกำลังวุ่นวายอยู่กับดงเถาวัลย์อยู่นั้นเอง ในความมืดมิดเช่นนี้ ชายหนุ่มผู้เกือบจะตกเป็นเหยื่อฝ่าตีน คชสาร จึงค่อยๆแทรกตัวออกมาจากซุ้มเถาวัลย์นั้นอย่างเชื่องช้า โดยที่ไอ้พรายเพชฌฆาต ก็ไม่ทันได้สังเกตเช่นกัน เมื่อรู้ตัวว่าเสียที ก็เห็นเหยื่อของมันกำลังไต่ขึ้นไปบนหน้าผาแล้ว

“แปร๋นนน”

“ไอ้สิงห์ เร็วเข้า!”เหน๋อร้องเสียงหลง เมื่อเห็นไอ้งายาวถอยพรวดออกมาจากดงเถาวัลย์

“เฮ้ย!”

“ไม่ทันแล้ว หนีก่อนโว้ยไอ้สิงห์”

“เปรี้ยงๆๆๆๆ!!”

“แปร๋นนน”

“ฟุ่ววว”

“ตึงๆๆ..แปร๋นนน”ไอ้งายาวแผดเสียงร้องลั่น พลางวิ่งหูกางมาทางเหยื่อของมัน ชนิดที่ว่าไม่ตายคาตีนก็ไม่ยอมหยุด ก่อนที่งวงที่ม้วนจุกอยู่ที่ปากจะฟาดโครมไปที่เหยื่อ แต่ก็ต้องพลาด เพราะสิงห์กระโจนเผ่นพรวดหลบฉากไปอีกทาง

          ในเมื่อจะปีนขึ้นไปบนหน้าผาก็ไม่ทัน เพราะไอ้ช้างผีสิงเห็นเสียก่อน ครั้นจะมุดหลบเข้าไปในดงเถาวัลย์ก็ไม่ได้ เพราะไอ้ยักษ์ตัวเดิมขวางอยู่เช่นนั้น ปากโพรงถ้ำ ที่อยู่เยื่องห่างออกไปรวมห้าว่าทางซ้ายมือ จึงเป็นตัวเลือกสุดท้าย  และดูเหมือนว่าไอ้ช้างบ้าเลือดตัวนั้น จะรู้ทันในสิ่งที่ชายหนุ่มคิด ทันทีที่มันตั้งหลักได้ แผ่นดินก็สะเทือนขึ้นราวกับแผ่นดินไหว ร่างอันใหญ่โตของของไอ้ช้างวายร้าย ก็ทะยานเข้าใส่เป้าหมายของมันในทันที 

          ราวกับรถสิบล้อพ่วงที่ปล่อยเกียร์ว่างลงมาจากเนินเขา ร่างของไอ้ยักษ์สีตีนควบตะบึงเข้าหาเป้าหมายของมันอย่างบ้าคลั่ง จนต้นไม้ต้นไร่และเถาวัลย์ที่ขึ้นเบียดขวางทาง ขาดกระจุยไปในพริบตา ราวกับถูกขวานจามให้ขาดออกจากันในทันที จนฝุ่นตลบ ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ที่จะหาหนทางหนีเอาตัวรอด ไม่มีแม้เวลาคิดไตร่ตรอง ว่าจะไปซ้ายหรือจะไปขวา ปากโพรงถ้ำที่อยู่ด้านนั้นล่ะ คือหนทางที่ไม่ต้องไปเยี่ยมนรก

“แปร๋นน”

“ฟู่ววว”

“ไอ้สิงห์ หนีโว้ย วิ่งสุดชีวิต!”

“เปรี้ยงๆๆๆ”บุคคลที่อยู่บนหน้าผา ตะโกนบอกเสียงหลง จากนั้นก็รัวกระสุนปืนเข้าใส่ลำตัวและหูหางอีกชุด

          ใกล้เสียจนได้กลิ่นสาบของไอ้คชสารงายาว ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่งวงมัจจุราช ฟาดโครมลงมา มายที่จะกระชากก้านคอของชายหนุ่ม แต่มันก็ต้องพลาดอีกครั้ง เพราะเจ้าของร่างนั้นกระโจนเผ่นพรวดเข้าไปในปากโพรงถ้ำนั้นเสียแล้ว ไอ้ช้างบ้าเลือดโกรธจนเนื้อเต้น ถึงกับฟาดงวงฟาดงาใส่ต้นไม้ต้นไร่อย่างอันธพาล ก่อนที่มันจะวิ่งตามเข้าไปในโพรงนั้นอย่างเคียดแค้น

          สิงห์เองก็หนีเอาตัวรอดอย่าไม่คิดชีวิต ถึงแม้เส้นทางเบื้องหน้าจะมืดมิดจนมองไม่เห็นหนทาง แต่ความรักตัวกลัวตายของมนุษย์ ยังมีด้วยกันทั้งนั้น นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาต้องล้มคะมำ เพราะสะดุดเข้ากับแง่หินจนล้มกลิ้ง แต่ก็ต้องตะเกียกตะกายไปต่อ เพราะเสียงของไอ้ช้างพยาบาท ยังแว่วให้ได้ยินอยู่เบื้องหลัง

          ชายหนุ่มได้แต่วิ่ง วิ่งเพื่อเอาตัวรอด วิ่งเพื่อให้หลุดพ้นจากไอ้ช้างวายร้ายตัวนั้น บนเส้นทางที่มืดมิด ถึงตาของเขาจะดีทั้งสองข้าง แต่ในเวลานี้ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนตาบอดเลยแม้แต่น้อย มีเพียงมือและแขนทั้งสองข้างเท่านั้น ที่ใช้แทนดวงตาเพื่อนำทาง แต่แล้วเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ขาที่กำลังก้าววิ่งออกไปข้างหน้า แทนที่ฝ่าเท้าของเขาจะได้สัมผัสผิวดินเหมือนปกติ แต่บันนี้ดูเหมือนว่า แผ่นดินที่เคยเหยียบย่ำในระดับเดิม กลับอันตรธานหายไป ด้วยความเร็วของตน บวกกับความมืดที่กะระยะ หรือคาดเดาอะไรไม่ถูก ในชัยภูมิเบื้องหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางนั้นจะเป็นทางลาดชั้น หรืออาจจะเป็นเหว แต่เมื่อชายหนุ่มคิดได้ มันก็สายไปเสียแล้วที่จะหันหลังกลับ และเมื่อนั้นเองความรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนคว้างก็พลันเกิดขึ้น

“....!”

“วูบ!”ร่างของชายหนุ่มหมุนคว้างกลางอากาศ ก่อนที่จะเสียหลักล้มกลิ้งเหมือนลูกขนุน ไปตามพื้นดินที่มีลักษณะลาดชัน ชนิดที่ว่าเบรคยังเอาไม่อยู่ ไม่ต้องคิดว่าจะมีต้นไม้ให้เหนี่ยวรั้งเหมือนก่อนๆ เพราะว่ามันไม่มี ภายในโพรงถ้ำที่มืดมิดเช่นนี้ จะมีอยู่อย่างเดียวก็คือ แง่หิน

“พลัก...พลัก”

“อุบ..!”

“อัก!” แง่หินแล้วแง่หินเล่า ที่กระแทกร่างอันห่อหุ้มไปด้วยเนื้อนิ่มๆ จนชาไปหมดทั้งตัว ทุกครั้งที่เกิดการกระทบกระแทก สติที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้าง บอกให้เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อยังไถลกลิ้งมาตามพื้นอย่างไม่มีจุดที่สิ้นสุด แขนทั้งสองข้างที่ถูกสั่งการโดยสมองที่เค้นพลังออกมาจนเฮือกสุดท้าย พลันยกขึ้นมากุมท้ายทอยของตัวเองไว้จนแน่น คงปล่อยให้ร่างกายดำเนินไปตามแรงโน้มถ่วงของธรรมชาติ ราวกับกำลังดำดิ่งสู่ก้นพื้นธรณี หรือไม่ก็ขุมนรก ขุมไหนสักแห่ง

          หรือนี่ คือจุดจบของเขาแล้ว สถานที่แห่งนี้นั้นหรือ คือหลุมฝังศพของเขา จะมีใครในคณะรู้หรือไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพเช่นไรในตอนนี้ ครอบครัว ญาติพี่น้องรอบกายของเขาล่ะ จะรับรู้หรือไม่ ถ้าเขาตายไปใครจะดูแล ความคิดทั้งหมดนี้สว่างโพล่งขึ้นภายในใจของชายหนุ่ม ก่อนที่มันจะค่อยๆถูกกลืนกินไปในความมืดมิด พร้อมๆกับความรู้สึกที่ค่อยๆดับวูบไป ราวกับไฟในตะเกียงที่หมดเชื้อเพลิง....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร เขาจะรอดจากเหวนรกแห่งนั้นหรือไม่ นิยายกำลังสนุก โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ในบทต่อไป*****

ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ*****
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท)
ภาพที่ 2
บุกป่า ฝ่าดง อยู่สบายๆไม่ชอบ ชอบลำบาก
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท)
ภาพที่ 3
พรานโส่ย นั่งทำอารมณ์
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท)
ภาพที่ 4
เจ้าพุ่ม ที่หุบลึกที่ไหนสักแห่ง?
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท)
ภาพที่ 5
อาหารหลักประจำทริป
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024