สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 25 เม.ย. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 1 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > อื่นๆ
ความเห็น: 15 - [19 พ.ย. 62, 17:36] ดู: 4,638 - [24 เม.ย. 67, 05:02] โหวต: 10
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
1 มี.ค. 55, 09:31
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 1
ภาพที่ 1
บทที่ 10

ตอนที่ 1


          กาลเวลาล่วงเลยไป เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ ที่บุคคลหนึ่งในคณะทั้งแปด ได้พลัดตกลงไปในโตรกผาลึกภายในถ้ำปริศนาแห่งนั้น ซึ่งบัดนี้มันได้กลายมาเป็นกับดักมรณะโดยไม่รู้ตัว และไม่อาจรู้ถึงชะตากรรมของบุคคลนั้น ว่าจะเป็นหรือตาย ท่ามกลางความมืดมิด ชนิดที่ไร้แม้แต่แสงเดือนแสงตะวัน ก็ไม่อาจแผ่รัศมีเข้าไปถึงก้นเหวบริเวณนั้นได้เลย และมันคงเป็นเช่นนี้มานานแล้ว ชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่า ภายใต้ความมืดมิด ที่กลืนกินสรรพสิ่งรอบด้าน จะปรากฏแสงสว่าง ที่ค่อยๆผุดเด่นขึ้นมา แสงสว่างที่ว่า ไม่ใช่แสงเทียนหรือแสงไฟที่ไหน แต่มันเป็นแสงในโสตประสาทส่วนลึกของเขานั่นเอง

          ชายหนุ่มหมดสติไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ก่อนที่จะรู้สึกตัว เหมือนหูของเขา จะแว่วเสียงอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่สามารถจำแนกเสียงเหล่านั้นได้ เพราะความรู้สึกในตอนนี้ เหมือนมีอะไรมาบดทับร่างกายของเขาจนปวดระบมไปหมดทั้งตัว เมื่อค่อยๆขยับเปลือกตา ที่หนักอึ้งเหมือนกับถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มเหล็ก ขึ้นทีละน้อยๆ ก็พบกับคำตอบของเสียงที่แว่วมา เพราะแสงเรืองๆของแสงไฟในกองฟืนที่กำลังปะทุไหม้อยู่ในกองนั่นเอง แต่ก็มองอะไรรอบๆกายไม่ถนัดนัก เพราะอาการพร่ามัวของดวงตาทั้งสองข้าง แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักกับที่ เพราะเหลือบไปเห็นร่างรางๆ ร่างหนึ่ง เมื่อค่อยๆพิจารณาร่างนั้นอย่างพินิจ ชายหนุ่มถึงกับตาสว่างขึ้นมาทันที

“พลับพลึง!”

“คุณนั่นเอง...”ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนที่จะค่อยๆยันกายขึ้นมานั่งด้วยความยากลำบาก

“ใช่แล้ว”

“เราเอง”หญิงสาวในชุดสไบคาดเฉียงเอ่ยขึ้น พร้อมรอยยิ้ม

“ที่นี่ที่ไหนครับ”

“ผมสับสนไปหมดแล้ว?”ชายหนุ่มพูด พลางสะบัดศีรษะไปมาอย่างมึนงง

“ท่านจงพิจารณา สิ่งรอบกายของท่านดูเถิด”

“แล้วท่านจะได้คำตอบ”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึงกล่าว เมื่อได้คำอธิบาย ชายหนุ่มจึงหันไปสำรวจรอบๆบริเวณ ก็พบกับต้นตะเคียนใหญ่ต้นเดิม

“ปะ..ปะ..ประหลาด”

“เท่าที่ผมจำได้ ผมหนีช้างป่าเข้าไปในถ้ำไม่ใช่หรือ จู่ๆจะมาโผล่ที่นี้ได้อย่างไร”ชายหนุ่มละล่ำละลัก แต่ไม่ทันที่เขาจะกล่าวอะไรต่อ สุภาพสตรีหน้าหวานก็เอ่ยขัดขึ้นมาว่า

“แล้วต่อจากนั้น เป็นเยี่ยงไร?”

“...”ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพื่อใช้ความคิดลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“ผมจำได้แค่เพียงว่า ในถ้ำที่ผมเข้ามา มันมืดเสียจนผมมองไม่เห็นทางแล้ว...”

“...?”หญิงสาวไม่พูดใดๆ แต่แสดงสีหน้าเหมือนอยากได้คำตอบ

“ต่อจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้เลยครับ”

“มารู้สึกตัวอีกที ผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”ชายหนุ่มหันมาตอบหญิงสาว

“...”หญิงสาวไม่เอ่ยถ้อยคำใด แต่เปลี่ยนสีหน้าดูเข้มขรึมลง แล้วค่อยลุกขึ้นมายืนเด่น ก่อนที่จะค่อยๆก้าวเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม

“ท่านสิงห์”หล่อนเอ่ยนามของเขา

“ครับ”สิงห์ต่อสั้นๆ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองเรียวหน้างามของหล่อน

“ท่านรู้หรือไม่ว่า สถานที่ ที่ท่านได้ล่วงล้ำเข้าไปนั้นคือที่ใด?”

“ผม..ผมไม่รู้ครับ”คำตอบที่ได้ ทำเอาคนถามถึงกับส่ายหน้าไปมา ประหนึ่งผิดหวัง หรือไม่ก็ระอา

“ท่านจงตรองดูเถิด”
“สถานที่แห่งหนใด คือจุดหมายปลายทางของพวกท่าน”หล่อนกระชั้นคำถามให้แคบลงไปอีก เท่านั้นเอง ความคิดอะไรบางอย่างของชายหนุ่มก็พลันแล่นวูบขึ้นมาในทันที

“ป่าดำ!”

“คะ..คะ..คุณพลับพลึง หมายถึง ป่าดำ ใช่หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มละล่ำละลักถาม

“ข้อนั้นเราตอบท่านมิได้ดอก”

“เราตอบได้แต่เพียงว่า...”หญิงสาวหยุดประโยคสนทนาไว้แค่นั้น ก่อนที่จะค่อยๆหันหน้าออกไปทางป่าทึบ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า

“สถานที่ ที่ท่านได้พลัดหลงเข้าไปนั้น คือหุบเหว ที่เปรียบเสมือนด่านปราการแรก ที่จะนำทางคณะของพวกท่าน ไปสู่จุดหมาย!”หล่อนกล่าวจบ ก็ค่อยๆหันกลับมาสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง

“...เหว อย่างนั้นรึ!”

“ใช่สิ ตอนที่เราวิ่งเข้ามาในถ้ำ”

“เหมือนว่า....เหมือนว่าเราล้มคะมำ แล้วกลิ้งลงมานี่หว่า”ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดที่อยู่ในใจของชายหนุ่ม

“นี่แสดงว่าเราตกเหวลงมาอย่างนั้นหรือ”พอนึกถึงเหว ความรู้สึกใจหายวูบก็พลันเกิดขึ้น

“หรือว่า เราตายไปแล้ว!”

“ยังดอก...”

“...!”ชายหนุ่มหยุดชะงักในความคิดไว้เช่นนั้น เพราะเสียงหวานใส ที่แทรกเข้ามา

“ดวงจิตของท่านยังมิได้ดับสูญ!”หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบ

“น..นะ นี่คุณ อ่านความคิดผมได้ด้วยหรือ!”

“ตื่น!”

“ตื่นเสียทีสิโว้ย!”ชายหนุ่มโพล่งออกมา พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า

“ท่านสิงห์ ท่านจงตั้งสติของท่านไว้ อย่าได้ร้อนใจอันใดเลย”

“สิ่งที่ท่านกำลังได้เผชิญอยู่นี้ ให้ท่านถือเสียว่า มันคือบ่วงกรรมของท่าน”หญิงสาวตอบ

“บ่วงกรรม?”

“ผมคงทำบาปทำกรรมเอาไว้มาก ถึงต้องชดใช้กรรมในเหวนรกนั่น”

“อาจเป็นเช่นนั้น”

“มันเป็นบททดสอบแรกของท่าน ที่ชะตาชีวิตของท่านจะต้องเผชิญ”หล่อนเอ่ย

“ชะตาของผม?”

“นี่ผมจะต้องหลงอยู่ในก้นเหว ที่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะลึกแค่ไหนอย่างนั้นหรือครับ”ชายหนุ่มร้องถาม

“จงใช้สติ และใช้ปัญญาของท่านเถิด”

“ตราบใด ที่ท่านยังมีปัญญา จงใช้ปัญญาของท่าน แก้ไขปัญหา เมื่อนั้นท่านจะพบกับหนทางสว่าง”

“ดังปมเชือกที่ท่านมัดมันขึ้นมา หามีผู้ใดไม่ ที่สามารถแก้ปมเชือกนั้น ได้ดีไปกว่าตัวของท่านเอง”หญิงสาวตอบ ก่อนที่จะค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนก้อนหินราบเรียบก้อนหนึ่ง ตาประสานตากันอีกครั้ง มีเพียงกองไฟกองน้อยเท่านั้น ที่กั้นขวางระหว่างหล่อนและชายหนุ่ม แววตาคู่นั้น ได้สบตาครั้งใดก็ครั้งนั้น ไม่มีครั้งไหนเลยที่ชายหนุ่มจะไม่รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ มันแรงเสียกว่าเจอไอ้งายาวเชือกนั้นเสียอีก หล่อนทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น นอกจากดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจะหยุดโลกทั้งใบให้หยุดนิ่ง กลิ่นกาย ของหล่อนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธร้ายที่คอยทิ่มแทงความรู้สึกของชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องบอกถึงเรือนร่างของหล่อน ที่มีสภาพกึ่งเปลือยอยู่ตรงหน้า มีเพียงผ้าสไบผืนบาง ที่เปรียบเสมือนอาภรณ์ที่ใช้ปกป้องสองปทุมถันของหล่อนเท่านั้น ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะมันไม่สามารถปกปิดส่วนนั้นของหล่อนเอาไว้ได้เลย ชายหนุ่มหลงอยู่ในภวังค์ เช่นนั้นนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ไฟในกองฟืนปะทุไหม้ดัง เปรี๊ยะ ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบหลบสายตาของเขาไปทางอื่น

“อันที่จริงผมคิดว่า ถ้าผมตายไปก็ดีเหมือนกัน”

“ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางหลบสายตาลงไปมองไฟในกอง อย่างปราศจากความหมาย

“ท่านสิงห์”

“เหตุไฉน ท่านถึงคิดเยี่ยงนี้”หญิงสาวที่มีเรือนร่างขาวนวนราวกับปุยนุ่น เอ่ยขึ้น

“ผมก็ตอบคุณไม่ถูกเหมือนกันครับ”

“อาจเป็นเพราะผมมีความรู้สึกว่า โลกใบนี้มันเริ่มจะน่าเบื่อลงไปทุกทีกระมัง”ชายหนุ่มตอบ

“มันมิง่ายไปฤา ที่ท่านคิดเยี่ยงนั้น”

“ท่านจะมาด่วนจากไป โดยไม่คิดที่จะชดใช้กรรมมิได้ดอก”

“กรรม คำก็กรรม สองคำก็กรรม”

“นี่ผมคงสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มากมาย เลยสินะครับ ถึงชดใช้เท่าไหร่ก็คงไม่จบไม่สิ้น”ชายหนุ่มร้องบอก พลางยกไหล่ผายมืออกมาทั้งสองข้าง

“ก็เพราะมันเป็นวิบากกรรมของท่านที่จะต้องเผชิญ”

“แหนะ!”

“ไม่ทันขาดคำ กรรม อีกล่ะ”ชายหนุ่มร้องขัด จนคนเสวนาด้วย ถึงกับทำตาค้อนใส่

“ท่านสิงห์”หล่อนเอ่ย

“ต่อให้ท่านพยายามเยี่ยงไร ช้าเร็วท่านก็ต้องเผชิญ แต่จะเป็นเยี่ยงไรหรือในรูปแบบใดนั้น เราเองก็มิอาจตอบท่านใด”หล่อนเอ่ย พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาม้วนปลายเส้นผมที่ยาวสลวยเป็นเงาไปมา

“เอาเถอะครับ ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหน ผมก็พร้อมแล้ว”

“ขอแค่มีคุณอยู่เป็นเพื่อนผมแบบนี้ไปตลอดก็พอครับ ขืนอยู่คนเดียวคงเหงาตาย”ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างจริงใจ ขอให้มีหล่อนเป็นเพื่อนเช่นนี้ ต่อให้ต้องไปชดใช้กรรมที่นรกขุมไหนเขาก็ไม่กลัวอีกแล้ว

“เออ...”

“คุณพลับพลึงครับ”ชายหนุ่มเอ่ยนามของหล่อน แต่ก็ทำท่าลังเล เหมือนจะถามอะไรบ้างอย่างกับหล่อน แต่ก็ดูกล้าๆกลัวๆที่จะถาม

“ท่านมีเรื่องอันใด”

“ท่านก็จนบอกเรามาเถิด เรายินดีตอบท่านทุกเรื่อง ตามที่เราจะสามารถตอบท่านได้”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงเอ่ยถาม

“ครับ”

“ข้อนั้นผมพอทราบดี เอาเป็นว่า ข้อไหนที่คุณพอจะตอบผมได้ก็ขอให้คุณช่วยตอบผมมานะครับ”ชายหนุ่มบอก หญิงสาวยิ้มหวาน แทนคำตอบ
“พวกผมที่เหลือ ยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่าครับ”

“มีใครได้รับอันตรายจากช้างป่าโขลงนั้นหรือเปล่า?”ชายหนุ่มร้องถาม พลางทำสีหน้าขรึม

“นอกจากท่าน ที่ดวงจิตยังมิได้ดับสูญ”

“ยังมีดวงจิตจากบุคคลทั้งเจ็ด ที่ยังคงอยู่”หญิงสาวตอบ พลางส่งยิ้มหวาน

“จะ..จะ..จริงหรือครับ”

“ผมดีใจจริงๆ ที่ทุกคนยังปลอดภัย”ชายหนุ่มละล่ำละลักอยากยินดี แต่ก็ต้องชะงักไป เพราะหล่อนเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“มีดวงจิตดวงหนึ่ง ที่ดับสลาย”

“คุณพลับพลึงหมายความว่าอย่างไรครับ”

“ดวงจิตดวงหนึ่งดับสลายไป?”ชายหนุ่มร้องถาม

“ท่านจงตรองดู”

“ท่านรอดพ้นจากคชสารมาเยี่ยงไร ก่อนที่ท่านจะพลัดหลงเข้ามาในถ้ำแห้งนั้น”หญิงสาวเอ่ย เหมือนให้ชายหนุ่มใช้ความคิดไตร่ตรองเหตุการณ์ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“ไอ้พะบอง”

“ผมจำได้แต่เพียงว่า เหตุการณ์ตอนนั้นมันชุลมุนเสียจนทำอะไรไม่ถูก”

“เหมือนจะคลับคล้ายคลับคาว่า ตอนที่ผมกำลังถูกไอ้ช้างป่าพยายามใช้งวงกระชากขาข้างหนึ่งออกไปจากซุ้มเถาวัลย์ จู่ๆ ไอ้พะบองก็กระโจนเข้ามา”ชายหนุ่มตอบ พลางใช้ความคิดลำดับเหตุการณ์

“ผมไม่รู้ว่าผมหลุดออกมาจากงวงนั้นได้อย่างไร”

“แต่พอหลุดจากงวงของมันได้ ผมก็รีบคลานเข้าไปในดงเถาวัลย์ทันที”

“ไม่น่าเชื่อว่ามันจะใจกล้าขนาดนั้น”

“โธ่..”ชายหนุ่มพูดจบ ก็ถอนหายใจดังเฮือก

“สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม”

“สหายสี่เท้าของท่าน ก็คงเป็นเยี่ยงนั้น ทุกสรรพสิ่งย่อมมีวันแตกดับด้วยกันทั้งนั้น”หล่อนกล่าว

“.....”ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“มันคงเป็นลางร้ายกระมังครับ”

“ใครจะคิด ว่าการที่ผมมาเที่ยวป่าเพื่อความบันเทิงแบบนี้ จะกลายมาเป็นหายนะ”สิงห์เอ่ย พลางนั่งทบทวนความผิดพลาด ที่ตัวเองและคณะได้ก่อขึ้น เริ่มตั้งแต่ที่พวกเขาทำสะเพร่าจนทำให้เกิดไฟป่า เพียงแค่แลกกับรังผึ้งรังเดียว ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะสาเหตุนี้เอง ที่คณะของเขาต้องมาพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ถูกของหล่อนที่ว่า ทั้งหมดนี้มันคือวิบากกรรมของเขา ที่จะต้องเผชิญ

“เพราะความอยากรู้อยากเห็นของผมแท้ๆ ที่ทำให้คนอื่นต้องพลอยมาเดือดร้อน”

“ผ่าสิ!...ผมไม่น่าหาเรื่องมาเลย”ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง

“มันเป็นลิขิตของท่าน”

“รวมถึงคณะของพวกท่าน ก็ถูกลิขิตไว้ร่วมกัน”หล่อนเอ่ย

“ลิขิตอย่างนั้นเหรอครับ”

“คนมีเป็นหมื่นเป็นแสน ทำไมสวรรค์ถึงเลือกผม?”ชายหนุ่มร้องถาม พลางหัวเราะหึๆอยู่ในลำคอ ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง

“ข้อนั้นเรามิอาจที่จะตอบท่านได้ดอก”

“ถ้าท่านคิดว่า สวรรค์เป็นผู้ที่เลือกและกำหนดชะตา ชีวิตของท่าน ตามที่ท่านได้กล่าวมา”

“ท่านเองก็ควรจะภาคภูมิใจมิใช่ฤา?”หล่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ในเหวนรกนั่นนะรึ!”

“แหม่..สวรรค์ เข้าใจเลือกสถานที่ให้ผมเสียจริงๆ น่าจะหาสถานที่ ที่มันน่ารื่นรมย์กว่านี้เสียหน่อยก็ไม่ได้”

“แต่ก็ยังดี”ชายหนุ่มกล่าวเปรยกับตัวเอง

“เยี่ยงไรฤา?”หญิงสาวเลิกคิ้วถาม

“อย่างน้อยๆท่านเทวดาบนสวรรค์ ก็ยังมีจิตใจเมตตา ส่งนางฟ้าแสนสวยลงมาเป็นเพื่อนผม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ส่งไปเที่ยวนรกขุมไหน ผมก็ยอม”ชายหนุ่มกล่าวจบ ก็หันหน้าขึ้นไปสบตาหล่อนคนนั้น หล่อนที่เปรียบเสมือนนางฟ้าของเขานั้นเอง ถูกเกี้ยวต่อหน้าต่อตาแบบไม่ได้ทันตั้งตัวเข้าอย่างจัง มีหรือที่หญิงสาวจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา ถึงหล่อนจะพยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้เช่นไร แต่ด้วยธรรมชาติของสตรีเพศในตัวหล่อนทำให้หล่อนถึงกับหน้าแดง

“วาจาของท่าน เปรียบเสมือนคมมีด”

“ท่านคงกล่าวถ้อยคำเยี่ยงนี้ กับสตรีทุกนาง”หล่อนกล่าว แต่ยังแสดงอาการขวยเขินอยู่ให้เห็น

“ก็ไม่บ่อยนักหรอกครับ”

“เพราะนานๆครั้ง ผมจะเจอผู้หญิงสวยๆสักครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆแบบคุณ ผมไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”ชายหนุ่มพูดจบก็สบตาหญิงสาวอีกครั้ง จนหล่อนต้องหลบตาหนี ใช่แล้วในโลกของความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ความฝันเช่นนี้ จะมีหรือไม่ในโลกนี้ ที่จะมีหญิงสาว ที่สวยเพียบพร้อมเช่นเธอ และคงไม่มีบุรุษเพศใดในโลกนี้ ที่จะไม่คิดตกหลุมรักหล่อน จะมีก็แต่ คนตาบอดเท่านั้น ที่มองไม่เห็นความสวยงามของหล่อน

          ในห้วงภวังค์ ราวกับถูกสาป หรือไม่ก็ต้องมนต์สะกด อะไรบางอย่าง ความรู้สึกกลัวในครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในหุบลึกของเหวปริศนา มาบันนี้ความรู้สึกนั้นกลับหายไปหมดสิ้น เหมือนกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ซึ่งถ้าตื่นขึ้นมา ภาพแห่งนิมิต เหล่านั้นคงหายไป แต่ชายหนุ่มจะรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่เขาได้เผชิญมานั้น มันไม่ใช่ความฝันอย่างที่เขาเข้าใจ และเมื่อตื่นขึ้นจากฝันร้าย เขาเองจะพบกับคำตอบที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะหล่อนคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้น กี่ครั้งแล้วที่เขาได้พบหล่อน จะเป็นไปได้หรือ ที่เขาจะฝันเห็นภาพหล่อนแบบนี้มาหลายคืนติดต่อกัน นับตั้งแต่คืนแรกที่ย่างกายเข้ามาในไพรกว้างแห่งนี้ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขานึกหนักใจหรือหวาดกลัว ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข เมื่อได้พบหล่อนอีกครั้ง ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม

“ท่านสิงห์”

“ท่านมิมีความอันใด ที่จะซักถามเรา อีกฤา”หญิงสาวกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ แต่ก็กังวานพอที่จะให้ชายหนุ่ม หลุดออกมาจากห้วงภวังค์

“ออ...เอ่อ..”

“ผมอยากรู้ว่า ที่หุบเหวที่ผมตกลงไปนั้น มีเส้นทางออกหรือไม่ครับ”ชายหนุ่มร้องถาม หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย

“อ่า...”

“คุณพอจะบอกเส้นทางนั้นกับผมได้หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มร้องถามอย่างคนมีความหวัง แต่ก็ต้องทำหน้าเศร้าเพราะหล่อนเอ่ยทำลายความหวังของเขาว่า

“ข้อนั้นเรามิสามารถ ตอบท่านได้”

“มันเป็นลิขิต ของท่าน ที่จะต้องพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น”หญิงสาวตอบ แต่แอบซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากเล็กน้อย

“โธ่...คุณพลับพลึงครับ”

“แบบนี้ผมไม่แห้งตายอยู่ในรูนั้นรึ?”ชายหนุ่มพูดจบก็ยกมือเกาท้ายถอยตัวเองแกรกๆ

“สติและปัญญาของท่านเท่านั้น ที่ท่านจะต้องนำมันออกมาใช้”

“เมื่อนั้นท่านจะพบกับแสงสว่าง ดังแสงเทียนที่ส่องชี้นำในความมืด”หญิงสาวกล่าว พร้อมรอยยิ้ม

“ปัญญาทึบสิไม่ว่า”

“คุณคงจะให้ผมนั่งสมาธิแล้ว เอาน้ำลายแตะขมับตัวเอง แบบ อิคิวซัง สินะ!”ชายหนุ่มพูดพลางยกมือคุมขมับ

“...?”

“ข้อนั้นเรามีทราบ ว่าท่านจะใช้วิธีเยี่ยงไร”หญิงสาวกล่าว

“ถ้าผมหาทางออกไม่ได้จริงๆ คุณจะช่วยผมหรือเปล่าครับ”

“อย่างน้อยๆ บอกใบ้ให้ผมได้รู้หนทาง ให้มากกว่านี้ก็ยังดี”

“...”หล่อนไม่ตอบ

“นิดหนึ่งนา...”ชายหนุ่มกระเซ้า

“...”เงียบ พลางทำหน้าดุใส่ จนคนถามถึงกับสะดุ้ง

“ปุดโถ่...!”

“บอกนิดบอกหน่อยก็ไม่ได้ แบบนี้ไอ้สิงห์ได้แห้งตายแหงๆ”พูดจบก็ทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หลา อย่างหมดเรี่ยวแรง

“เอ๊า! เป็นไงเป็นกันวะ”

“อย่างน้อยๆ ตายไปก็ไม่เหงา”พูดจบก็พลิกตัวตะแคงหันหน้ามาทางหล่อน

“อาจเป็นเยี่ยงนั้น”

“ฤา อาจมิได้เป็นเยี่ยงนั้น!”หล่อนตอบ พลางเขยิบกายถอย เมื่อเห็นชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะมือข้างหนึ่งของหล่อนถูกชายหนุ่มคว้าเอาไว้แน่น และโดยไม่ทันที่หล่อนจะตั้งตัว ตักอันนุ่มนิ่ม ก็ถูกชายหนุ่มขึ้นไปหนุนหัวนอนหน้าตาเฉย โดยกุมมือของหล่อนเอาไว้แน่นแนบอก

“..!”

“ทะ ท่าน..จะทำอันใดฤา”หญิงสาวร้องบอกเสียงสั่น

“...”

“ขอให้ผม ได้นอนอยู่อย่างนี้ต่อไปเถอะครับ คุณพลับพลึง”

“หรือถ้าผมทำให้คุณโกรธเคือง ผมยอมให้คุณพลับพลึงหักคอผมตอนนี้เลยก็ได้”ชายหนุ่มกล่าวในขณะที่หลับตา พริ้มอยู่เช่นนั้น

“อนาคตข้างหน้าผมก็ไม่รู้ ว่าจะอยู่หรือจะตาย”

“ผมรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้อยู่ใกล้ชิดคุณแบบนี้ครับ คุณพลับพลึง”พูดจบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆลืมตาขึ้นสบตาหล่อนอีกครั้ง ดวงตาคู่งามของหล่อนสบตาตอบ จนชายหนุ่มถึงกับ รู้สึกวาบหวิวเข้าไปในหัวใจจนบอกไม่ถูก หัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่ากลองเพลด้วยอาการตื่นเต้น ไอ้งายาวที่ว่าแน่ หัวใจของชายหนุ่ม ยังไม่สั่นเท่าได้สบตาคู่นั้นของหล่อนเลย

“ผมขอโทษ หากการกระทำเช่นนี้ ทำให้คุณไม่สบายใจ”

“แต่ได้โปรดเถิดครับ อย่างน้อยๆ ขอให้ผมได้มีความสุขอยู่เช่นนี้ ก่อนที่ผมจะ..ต.!”ชายหนุ่มผู้ตกลงในห้วงแห่งความฝัน พูดได้แค่นั้น ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะมีมือเรียวงามข้างหนึ่ง เอื้อมขึ้นมาแตะริมฝีปากของเขา ไม่ให้พูดต่อ พลางส่ายศีรษะไปมาช้าๆ

“สิ่งที่ท่าน ปรารถนาที่จะเอ่ยมานั้น มันมิได้เกิดขึ้นง่ายๆ ดังที่ท่านคิดดอก”

“ตราบใด ที่ท่านยังชดใช้หนี้กรรมที่ท่านก่อไว้มิหมด”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ผมคงทำบาปไว้มากมาย มากเสียจนตามชดใช้ไม่หมดกระมัง”

“แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ไม่ว่านรกขุมไหน ผมก็ไม่กลัวทั้งนั้น ผมพร้อมที่จะเผชิญแล้วครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ พลางกุมมือของหล่อนไว้เช่นนั้น

“เมื่อผมตื่นจากฝันนี้...ซึ่งอันที่จริงผมเองก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาสักเท่าไหร่”

“ผมจะพยายามใช้สติปัญญา อย่างเต็มที่ ตามที่คุณพลับพลึงแนะนำ”

“หรือถ้ามันจนปัญญาของผมแล้วจริงๆละก็...”

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับ ผมรับมันได้ทุกอย่าง” ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

“เรายินดียิ่งนัก ที่ท่านคิดเยี่ยงนี้”

“มิมีอุปสรรค์ อันใดที่จะสามารถขวางกั้น ท่านได้ ถ้าท่านมีแรงปรารถนา อันแรงกล้าเยี่ยงนี้”

“ไม่ใช่แรงปรารถนาที่ไหนหรอกครับ เป็นเพราะคุณพลับพลึงมากกว่า ที่ทำให้ผมมีแรงฮึดสู้ต่อไป”ชายหนุ่มพูดจบ ก็เลื่อนมือที่กุมไว้ ขยับขึ้นมาไว้แนบชิดแก้มของเขา

          ผิวกายที่ขาวดังปุยนุ่น ครั้นเมื่อกระทบแสงไฟสีเหลืองอัมพัน ที่ส่องแสงสว่างฉาบไปตามเรือนร่างของหล่อน ทำให้ผิวของหล่อนดูเนียนตาไร้ตำหนิ ละคนกับกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ป่า ซึ่งคนได้กลิ่นอย่างกระชั้นชิดแบบนี้ ยังไม่สามารถแยกแยะได้ออกว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใด จะว่าเป็นกลิ่นของดอกช้างกระ ที่เสียบติดทัดหูของหล่อนก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเขาก็พอที่จะจำแนกได้ออก แต่กลิ่นที่หอมรัญจวนใจแบบนี้สิ มันทำให้เขาต้องประหลาดใจเป็นที่สุด ราวกับว่ามันจะถูกสกัดมาจากดอกไม้ป่าสารพัดชนิด แล้วนำมาประพรมไปตลอดทุกอณูผิวของหล่อน ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้ชายหนุ่มเผลอขยับมือของหล่อนที่กุมไว้ขึ้นมาดมอย่างลืมตัว จนผู้ที่เป็นเจ้าของมืองามนั้นมีอาการอึกอักไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด

“...!”

“ทะ..ท่าน”หล่อนละล่ำละลัก

“ท่านสิงห์...”
“...”

“ท่านสิงห์ ถึงเพลาแล้ว ที่เราต้องลาจากท่านไป”หญิงสาวกล่าว ทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับใจหายวาบ หมดเวลาแล้วหรือ ที่เขาและหล่อนจะต้องจากไปอีกครั้ง

“ได้โปรดเถิดครับคุณพลับพลึง”

“ได้โปรดให้ผมได้อยู่แบบนี้ต่อไปเถิดครับ อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ผมได้หลับไป โดยที่มีคุณอยู่เคียงข้างผมเช่นนี้เถิดถือว่าผมข้อร้องคุณ”พูดพลางส่งสายตาวิงวอน พลางกุมมือของหล่อนไว้แน่นขึ้นอีก

“ไม่แน่ ในวันข้างหน้า ผมอาจจะไม่ได้ผมคุณอีกก็ได้”

“นะครับ คุณพลับพลึง”

“ท่านลืมไปเสียแล้วฤา?”

“ทุกราตรีกาล หากท่านระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีก”ไม่พูดเปล่า หล่อนที่มีนามว่าพลับพลึง กลับค่อยๆเอื้อมมือมาลูบบนเส้นผมของชายหนุ่มช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยมาว่า

“ราตรีสวัสดิ จงมีแด่ท่าน”

“ขอให้ท่านจงใช้สติ และปัญญา ให้ถึงที่สุด  เมื่อนั้นแสงเทียนในใจท่าน จะส่องนำทาง ให้ท่านได้พบกับหนทางสว่าง”หล่อนเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่ม่านตาของชายหนุ่มจะค่อยๆปิดลง ท่ามกลางกลิ่นอาย ที่หอมคลุ้งไปทั่ว นี้หรือความทุกข์ทรมานที่เขาจะได้รับ นี้หรือขุมนรกที่เขาจะได้เผชิญเมื่อลืมตาขึ้น ต่อให้เป็นนรกขุมไหนก็ตาม เขาก็ไม่คิดหวั่น ตราบใด ที่มีหล่อนเคียงข้างอยู่เช่นนี้ อุปสรรค์หรือขวากหนามจะมากั้นขวางเส้นทางขนาดไหน มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากขนนกที่ไร้ประโยชน์ ที่จะมาขวางกั้น แรงแห่งศรัทธาของชายหนุ่ม  แรงศรัทธาที่หล่อนเป็นคนจุดประกาย  ให้เขาได้มีความหวัง ชายหนุ่มบอกกับตนเองเช่นนั้น ก่อนที่เคลิ้มหลับไป...





*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เมื่อชายหนุ่มตื่นขึ้นจากความฝัน โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****


ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณทุกท่าน ที่ให้กำลังใจและ ติดตามผลงานมาโดยตลอด
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 1
ภาพที่ 2
ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งนะครับ ^ ^

เมื่อเสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปกับคณะ ในกิจกรรม "เดินป่ากับนักเขียน" จริงๆกิจกรรมนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วครับ แต่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้เข้าร่วมด้วย เหตุผลที่ไปเพราะ มีนักเขียน ที่ผมติดตามผลงานมานาน ได้ร่วมเดินทางไปด้วยครับ

จุดแรกที่แวะคือ อ่างเก็บน้ำ เขื่อนสียัด ซึ่งอดีตภายใต้ผืนน้ำแห่งนี้ เคยเป็นป่าผืนใหญ่มาก่อน บรรยากาศน่ามาตั้งแค้มป์ตกปลามากครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 1
ภาพที่ 3
พวกเราทั้งหมดประมาณ 50 กว่าคน ไปพักแรมกันที่ อช.หลุมจังหวัด ครับ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาอ่างฤาไน

ในรูปเอาคุณนาย(พลับพลึงของผม ฮาๆ) ไปคุม เอ๊ย! พาๆปเที่ยวด้วย เผื่อไอ้ตัวเล็กที่อยู่ในท้องจะชอบ (อ้างไป) สรุปได้นอนนอกบ้าน คุณนายนอนในบ้าน(เต๊นท์) ผมนอนนอกบ้าน(เปล) ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมายังไงไม่รุ ฮาๆ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 1
ภาพที่ 4
ท่านนี้ล่ะครับ นักเขียนในดวงใจผม หลายๆคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า วัธนา บุญยัง หลายคนอาจจะร้องอ๋อ

อ.วัธนา บุญยัง เป็นคนกันเองมากครับ เรียบง่าย เฮฮา คุยสนุกครับ โดยเฉพาะต้อนที่ อ.วัธนา เล่าถึงอดีตของป่าเขาอ่างฤาไน (เก็บข้อมูลเอามาโม้ในนิยามผม อิอิ)
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 1
ภาพที่ 5
อีกท่านคือ...?  มีน้าท่านใดพอที่จะตอบในใจได้หรือเปล่าครับ

หลายคนอาจไม่รู้จักอีกเช่นเคย แต่ถ้าผมบอกว่า บุหลัน รันตี  อ๋อเลยใช่มั๊ยครับ ผมขอเรียกว่า พี่ บุหลัน ดีกว่า เพราะอายุอานายังหนุ่มยังแน่นมากเลยครับ ผิดคาดเลย ที่ผมคิดว่า ตัวจริงน่าจะอายุมากแล้ว แต่ขอบอกว่า เรื่องเที่ยวป่าแกสุดยอดจริงๆครับ และที่สำคัญ บ้านก็ติดๆกับผม คือ พี่เขาอยู่ จ.ราชบุรี ผม กาญจน์ (แอบตีสนิท)

ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสคุยกันสองต่อสอง(เอ๊ะยังไง) ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีพี่ท่านผูกเปลนอนข้างๆผมพอดี ผมเลยมีโอกาสได้คุยกับพี่ท่าน ขอคำปรึกษาต่างๆนานา ถึงเทคนิคและขั้นตอนในงานเขียน ได้ความรู้มากมายครับ น้าๆทุกท่านในที่นี้ก็สามารถเป็นนักเขียนที่ดีได้ครับ ขอให้มีความมานะและพยายาม สิ่งที่คิดว่ายากมันอาจจะไม่ยากอย่างที่ท่านคิดก็ได้
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024