สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 29 เม.ย. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 5 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > อื่นๆ
ความเห็น: 10 - [6 ก.ย. 55, 15:31] ดู: 2,918 - [27 เม.ย. 67, 13:25] โหวต: 6
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 5
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
29 มี.ค. 55, 09:05
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 5
ภาพที่ 1
บทที่ 10

ตอนที่ 5

          ระยะไม่เกินห้าวา จากปากถ้ำ ทั้งสามก็ต้องตกอยู่ในท่ามกลางความมืดมิด เพราะแสงสว่างจากภายนอกที่เห็นอยู่เบื้องหลัง ไม่สามารถสาดส่องเข้ามาถึง ส่วนที่เป็นโพรงมืดด้านในได้ เพราะถูกเหลี่ยมมุมของกำแพงหินบดบังเกือบจะทุกด้าน ทำให้ไฟฉายของแต่ละคนที่กำอยู่ในมือ พากันสว่างขึ้นมาทีละดวง ดวงแรกจับไปตามผนังถ้ำ ดวงที่สองส่องกราดไปมาบนเพดาน ดวงสุดท้ายสาดส่องสำรวจไปตามพื้นดิน

“ถ้ำมันลึกขนาดนี้เชียวรึ”

“มืดก็มืด ไม่รู้ไอ้สิงห์มันคลำเข้ามาได้ยังไง”พรานแปะว่า พูดจบก็กราดไฟไปตามผนังถ้ำเช่นเดิม

“อย่าว่าแต่ลึกเลย เอ็งไม่เห็นรึ ขนาดส่องขึ้นไป ไฟฉายของข้ายังส่องไม่ถึงเพดาน”

“เกิดมาเพิ่งจะเคยพบเคยเห็น”พรานพรกล่าว

“จริงอย่างที่ไอ้เหน๋อมันพูด มีช้างตามมันเข้ามาตัวเดียวจริงๆ”

“ดูจากรอยนี่สิพวกเรา มีแต่รอยเข้า รอยออกมายังไม่มี”พรานเบร้องบอก พลางส่องไฟไปที่รอยตีนช้างขนาดใหญ่

“ระวังกันให้ดีก็แล้วกัน อย่าประมาท”

“โน่นไง รอยเท้าของไอ้สิงห์!”พรานเบร้องบอก ก่อนที่จะรีบก้มลงไปสำรวจรอยเท้าของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้มองเห็นอยู่ชัดเจน

“ลองเรียกมันดูมั๊ย”

“บางที่มันอาจจะหลบอยู่แถวนี้ก็ได้”พรานแปะเสนอความคิด

“ผิวปากเรียกดีกว่า”

“ตะโกนโหวกเหวกออกไป เดี๋ยวไอ้ช้างบ้าตัวนั้นอยู่ใกล้ๆเรา จะแย่เอานา หรือเอ็งจะว่าไงไอ้เบ”พรานพรท้วง พลางหันไปมองหน้าพรานนำทาง เหมือนจะขอคำตอบ

“เอ็งพูดถูกไอ้พร”

“ผิวปากเรียกดีกว่า”พรานเบตอบ พูดจบก็ห่อริมฝีปาก เป่าลมออกมาดัง วี๊ว เหมือนเสียงนกกางเขน โดยมีลำไฟฉายคอยสาดกราดออกไปรอบทิศทาง โดนเฉพาะบริเวณที่เป็นเหลี่ยมมุม หรือจุดอับตาต่าง จะต้องค่อยส่องสำรวจมากเป็นพิเศษ เพราะไม่รู้ว่า ช้างป่าตัวนั้นจะแอบซุ่มอยู่บริเวณใดของถ้ำ จากไม่กี่วา ที่เคยอยู่ ก็เริ่มขยับเข้าไปลึกเป็นลำดับ จนมองเห็นปากถ้ำไกลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีวี่แววของชายหนุ่มผู้นั้น ที่เห็นก็มีเพียงแต่รอยเท้า ที่ย้ำไว้ให้เห็นต่างหน้า

“มืดๆแบบนี้ มันยังกล้าคลำมาอีก”

“ข้าล่ะเชื่อเลย”พรานแปะร้องบอก

“ไม่หนีก็เละสิ โดนช้างวิ่งจี้ตูดมาแบบนั้น”

“เป็นข้าก็หนีตาเหลือกเหมือนกัน”พรานพรเสวนาตอบ

“มันก็ไม่ง่ายอย่างที่เอ็งว่าหรอกไอ้พร”

“โน่น รอยมันล้มคะมำ อยู่นั้น”พรานเบร้องบอก พลางกราดไฟฉายจับไปที่พื้นดิน ซึ่งตอนนี้มองเห็นเป็นรอยฝ่ามืออย่างชัดเจน ทำให้พอจะเดาออกว่า ชายหนุ่มต้องสะดุดอะไรสักอย่างก่อนที่จะล้มลงไป แล้วจึงยันตัวขึ้นไปต่อ โดยดูจากรอยฝ่ามือที่อยู่ในลักษณะคว่ำ เกือบจะมองเห็นเส้นลายมือบนพื้นดินเลยทีเดียว

“สงสัยสะดุดหินก้อนนี้แน่ๆ”

“ถ้ำนี้มันก็แปลกๆ ไม่มีโพรง ให้เข้าไปแอบเลยหรือไงวะ ยังกะอุโมงค์ลดไฟ”พรานพรบอก พลางส่องไฟไปจับที่แง่หินก้อนหนึ่ง ที่แทงโผล่ขึ้นมาบนดิน

“ใครว่าไม่มี”

“โน่นไง ดูเหมือนจะเป็นทางแยก”พรานเบร้องบอก แต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ พรานนำทางก็ร้องออกมาดังลั่นว่า

“เฮ้ย!”

“นั่นมันเหวนี่หว่า” พรานเบละล่ำละลัก ก่อนที่จะเดินดิ่งไปที่ขอบเหวนั้น

“ฉิ บหายแล้วไง ไอ้เบ”

“ดูให้ดีๆซิ”พรานพรร้องบอก อย่างขวัญหนีดีฟ่อ

“ชัดเลยไอ้พร รอยไอ้สิงห์มันตรงไปที่เหวนั่น”

“แล้วทางแยกที่เอ็งเห็นล่ะ ไอ้แปะเอ็งเดินไปดูหน่อยสิ เผื่อมันแยกออกไปทางโน่น”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนใจ ชั่วครู่พรานแปะก็ร้องกลับมาว่า

“ไม่มีเลยพี่ มีแต่รอยช้าง!”

“รอยไอ้สิงห์ไม่มีเลย โธ่...ไอ้สิงห์”ประโยคหลังพรานแปะร้องบอก พลางทำเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้

“ไอ้แปะ ไอ้ปากเสีย! เอ็งดูให้ดีๆสิ รอยตีนช้างมันอาจจะวิ่งทับกันก็ได้”

“ไอ้ห่ าเอ๊ย!”พรานพรสบถ ก่อนที่จะจ้ำพรวดๆไปที่ตำแหน่งของพรานแปะ เพื่อส่องสำรวจด้วยตัวเอง แต่แล้วก็ต้องใจหายวาบ เพราะพยายามขนาดไหน ก็มองไม่เห็นร่องรอยของชายหนุ่มแม้แต่น้อย ที่เห็นก็มีแต่เพียงรอยตีนช้างตัวนั้น

“เปล่าประโยชน์ไอ้พร”

“ไอ้สิงห์มันตกลงไปในเหวนั่นจริงๆวะ เอ็งมาดูอะไรนี่สิ”พรานเบร้องบอก พูดจบก็ทรุดกายลงนั่งยองๆกับพื้นอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง

          ณ บริเวณขอบเหวนั้นเอง ที่พรานเบส่องไฟฉายสำรวจพบกับอะไรบางอย่าง ที่บ่งบอกว่า ชายหนุ่มในคณะได้พลัดตกลงไปในเหว ซึ่งตอนนี้ก็ไม่สามารถคาดเดาได้อีกเช่นกันว่า มันจะมีความลึกสักเท่าไร แต่ดูจากร่องรอยที่ปรากฏ ก็พอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ชายหนุ่มตกลงไปในเหวแห่งนี้ ทั้งรอยเท้าที่เดินตรงไปที่ปากเหวอย่างไม่คิดที่จะหยุด และรอยครูดไถลลงไปตามที่ชันก็ยังเป็นรอยใหม่ๆจัดเจน  และที่ทำให้แน่ใจมากที่สุดคือ วัตถุอะไรชนิดหนึ่ง ที่สะท้อนแสงเรืองๆกลับมา เมื่อลำแสงของไฟฉายของพรานเบส่องกระทบ

“นั่นมันนาฬิกา ของไอ้สิงห์นี่หว่า”

“โธ่..ไอ้สิงห์”พรานแปะพูดเสียงเครือ

“มันตกลงไปในนี้จริงๆด้วย”

“เอายังไงดีไอ้เบ!”พรานพรพูดอย่างร้อนรน

“....”

“ข้า...ข้าทำอะไรไม่ถูกแล้ววะ ไอ้พร เป็นเพราะข้าคนเดียว”พรานเบร้องบอก พลางขบกรามตัวเองจนเป็นสันปูด

“โธ่...”

“ไอ้สิงห์!”พรานพรบ่นพึมพำกับตัวเองจบ ก็ตะโกนเรียก ชื่อชายหนุ่มดังลั่น

“ไอ้สิงห์โว้ย....”

“เอ็งอยู่ที่ไหน...”ตะโกนออกมาได้เพียงแค่นั้น ก็ทิ้งกายลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดหวัง

“เจ้าพระคูณ...เจ้าป่าเจ้าเขา โปรดคุ้มครองไอ้สิงห์ด้วยเถิด”

“ขออย่าให้มันเป็นอะไรไปเลย”พรานแปะยกมือไหว้บนบานเจ้าป่าเจ้าเขา

“ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม”

“ข้าต้องเอาตัวมันขึ้นมาให้ได้”พรานเบร้องบอก

“เอ็งไม่เห็นรึไอ้เบ ว่าเหวที่ไอ้สิงห์ตกลงไปมันลึกขนาดไหน”

“ขนาดไฟฉายของเอ็งยังส่องลงไปไม่เห็นก้นเหวเลย”พรานพรร้องขัด

“ต่อให้มันลึกเป็นกิโล ข้าก็ต้องเอาตัวมันขึ้นมาให้ได้ไอ้พร”

“ข้าต้องรับผิดชอบมัน ถ้าไม่เป็นเพราะข้า ไอ้สิงห์คงไม่เป็นแบบนี้”พรานเบตอบ

“แล้วเอ็งจะลงไปได้อย่างไง ชันขนาดนี้ เชือกยาวๆก็ไม่ได้ติดกันมา”

“หรือเอ็งจะไต่ไปตามขอบเหวนั่น”พรานพรว่า

“เชือกไม่มีก็ใช้เถาวัลย์ก็ได้นิพี่พร”

“ปากทางหน้าถ้ำ มีอยู่เยอะแยะ เอามาถักก็น่าจะใช้ได้”พรานแปะเสนอความคิด

“จริงของไอ้แปะมันไอ้พร”

“เถาวัลย์ก็ใช้ได้!”พรานเบพูดออกมาอย่างมีความหวัง

“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะวะ”

“พวกเรารีบออกไปเตรียมตัวกันดีกว่า ชักช้ากว่านี้ ไอ้สิงห์อาจจะแย่ก็ได้”พรานพรร้องตอบ สิ้นเสียงของพรานพร ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนกลับออกไปอย่างเร่งรีบ เพราะเวลาอาจไม่รอท่า ชีวิตของเพื่อนร่วมชะตากรรม ตอนนี้ตกอยู่ในช่วงวิกฤติ ซึ่งก็ไม่อาจจะทราบได้ว่า บุคคลที่ตกลงไปในเหวนรกแห่งนั้น จะอยู่ในสภาพเช่นไร
ท่ามกลาง การรอคอยของบุคคลภายนอกอย่างใจจดใจจอ แต่ละคนนั่งกันไม่ติดที่ โดยเฉพาะพรานโส่ยเอาแต่เดินไปเดินมาป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณหน้าปากถ้ำ ส่วนคนอื่นๆก็ผุดลุกผุดนั่งกัน ก้นไม่ติดพื้น ได้ยินเสียงอะไรกุกกักหน่อย ก็ชะเง้อคอกันให้สลอน เกือบครึ่งชั่วโมงเขาไปแล้ว ที่ทั้งสามคนเข้าไปในถ้ำปริศนา ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่กี่นาที แต่ความรู้สึกของคนที่รอคอยมันช่างเนิ่นนาน ราวกับเฝ้ารออยู่เป็นวันๆ และแล้ว เงาของบุคคลทั้งสามก็ปรากฏขึ้นให้เห็นตะคุ่มๆ

“เฮ้ย!”

“เป็นยังไงบ้างวะ แล้วไอ้สิงห์ล่ะหายไปไหน?”พรานเฒ่าร้องถามเสียงแซด เมื่อเห็นพรานทั้งสามโผล่ออกมาจากเงามืด

“ชักไม่เขาท่าเสียแล้ว”

“สงสัยจะเกิดเรื่องแน่ๆ”พุ่มกระซิบบอกเจ้าเคิ้ง

“เป็นไงพี่แปะ”

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับไอ้สิงห์”เหน๋อร้องถามด้วยสีหน้าอันซีดเผือด

“ว่าไงพี่พร!”

“พี่แปะล่ะ!”

“น้าเบ!...เอ๊าใบ้กินกันหมดหรือไง บอกมาซี ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้สิงห์”เหน๋อละล่ำละลัก พลางเดินไปเขย่าแขนพรานนำทางจนตัวโยก

“....”

“ไอ้สิงห์..ไอ้สิงห์มัน..มัน”พรานเบพูดอึกอักอยู่เช่นนั้น ทำให้พรานเฒ่าถึงกับตวาดออกมาว่า

“ก็พูดมาสิว่ะ ไอ้ห อก!”

“มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่ได้ คนรอฟังมันทรมานโว้ย!”พรานเฒ่าสบถ

“เอาล่ะ ข้าจะบอกก็ได้”

“พวกเอ็งทำใจกันให้ดีๆก็แล้วกัน”พรานเบพูดออกมาเบาๆ พลางหันไปมองพรรคพวกอีกสองคน เหมือนจะถามความคิด ทั้งสองไม่ตอบ นอกจากพยักหน้าหงึกหงัก

“มีรอยไอ้สิงห์มันเข้าไปในถ้ำอย่างที่ไอ้เหน๋อบอกนั่นล่ะ”

“แต่มันคงไม่รู้หรอกว่า ข้างในนั้นมันมีเหวอยู่”

“....ถ้ำมันมืด”

“มืดจนมันมองไม่เห็นทาง...ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์มันเลยตกลงไป”พรานเบพูดได้แค่นั้น ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ต่อ เพราะความรู้สึกที่ตีบตันในคอและทรวงอก

“ห๊า!”

“โธ่..ไอ้สิงห์..”เหน๋อรำพึง

“เวรกรรมแท้ๆ”

“ไม่น่าเลยยังหนุ่มยังแน่น  ฮือๆ”พรานเฒ่าร้องฟูมฟายแบบไม่อายสายตาใครทั้งนั้น ทำให้เจ้าเคิ้ง และเจ้าพุ่ม พากันน้ำตาคลอตามไปด้วย

“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจกันสิวะ”

“ไอ้สิงห์มันอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้”พรานพรตวาดลั่น

“ใช่ บางที่มันจะยังมีชีวิตอยู่”

“พวกข้ากำลังหาวิธีลงไปช่วยมันในเหวนั่น”พรานแปะร้องบอกมาอีกคน

“ไหนเอ็งว่ามาสิไอ้แปะ ว่าพวกเราจะช่วยมันได้อย่างไง”

“แล้วเอ็งเห็นไอ้สิงห์มันอยู่ที่ก้นเหว ที่เอ็งว่าหรือเปล่า”พรานชราร้องถาม พลางใช้แขนเสื้อปาดเช็ดน้ำตา

“ไม่มีใครเห็นหรอกตาโส่ย”

“เหวนั่น มันลึกมาก ขนาดไฟฉายของข้ายังส่องไม่ถึงพื้นเลย ถึงพวกข้าจะไม่เห็น แต่ข้าก็มั่นใจ ว่าไอ้สิงห์มันต้องตกลงไปในนั่น”พรานเบร้องตอบ

“เชือกเชิกอะไรเราก็ไม่มีกันมาสักเส้น จะไต่ลงไปได้ยังไงล่ะนั่น”เหน๋อร้องบอกอย่างหมดหวัง

“เถาวัลย์ไง พวกเอ็งไม่เห็นรึ ที่เราอยู่กันนี้มีแต่ดงเถาวัลย์ทั้งนั้น”

“เลือกตัดเส้นยาวๆมาถักกันหลายๆเส้น ก็น่าจะพอไหว”พรานพรร้องบอก ทำให้ทุกคนเพิ่งจะนึกออก

“อย่ามัวแต่ถามกันเลยดีกว่า มาช่วยกันตัดเถาวัลย์เถอะ”

“ชักช้า เสียเวลาเปล่าๆ”พรานเบร้องเตือน สิ้นเสียงพรานนำทาง ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปเลือกตัดเถาวัลย์อย่างกุลีกุจอ

          เสียงนกกางเขนดง ร้องหวีดหวิว แว่วมาจากชายดงทึบ ท่ามกลางสายหมอกที่เริ่มปกคลุมพื้นที่อยู่เจือจาง เพราะอำนาจความร้อนของดวงอาทิตย์ ที่เริ่มโผล่พ้นของฟ้าและทิวเขา ทำให้ป่าทึบเบื้องล่างบริเวณนั้น เริ่มปลอดโปร่งขึ้นทีละเล็กที่ละน้อย ถึงแม้เวลานี้จะยังไม่สามารถมองเห็นดวงไฟทรงกลมดวงนั้นได้ก็ตาม เพราะเรือนยอดของไม้ใหญ่ที่ขึ้นบนบังจนแน่นขนัด ถึงกระนั้น ก็ยังมีช่องว่าง พอที่จะทำให้แสงสว่างเล็ดลอดออกมาได้ กลายเป็นลำแสงขนาดต่างๆตามความกว้างของช่องว่างเหล่านั้น

          เจ้ากางเขนดงตัวเดิมยังคงเริงร่า โบกบินไปมาตามอาณาเขตของมัน แต่แล้วก็ต้องตกใจ เพราะมีสิ่งแปลกปลอม ล่วงล้ำเขามา เสียง แสกๆ วิ๊ดๆ จึงดังก้องไปทั่วบริเวณ เพราะมันประกาศให้ผู้บุกรุกรู้ว่า สถานที่แห่งนี้เป็นของมัน แต่เสียงที่ดังก้องไปนั้นทำให้สัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่ออกหากินอยู่ใกล้ๆพากันหูผึ่ง รีบเผ่นหลบหาที่ซ่อนทันที ก่อนพวกมันจะพากันสะดุ้ง เพราะเสียงโครมครามของต้นไม้ และเสียงแกรกกรากตามพื้นดิน ที่ตอนนี้มองเห็นเหล่ามนุษย์พากันเดินย่ำไปมาดูสับสนไปหมด

“ฉับ!”

“ไอ้เคิ้ง เอ็งเลือกตัดเส้นขนาดนี้ก็พอ ใหญ่กว่านี้มันจะขนไปลำบาก”พรานเบร้องบอกกะเหรี่ยงหนุ่ม หลังจากใช้มีดเหน็บฟันไปที่เส้นเถาวัลย์ขนาดเล็กกว่าข้อมือ ก่อนที่จะชูเส้นเถาวัลย์เส้นนั้นให้เจ้าเคิ้งดูเป็นตัวอย่าง

“รีบๆเข้าหน่อยโว้ย”

“เอามาเท่าที่จะแบกมาได้ก่อน ขาดเหลือยังไงค่อยว่ากันอีกที แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั๊งไอ้เบ”พรานพรร้องบอก พูดจบก็โยนขดเถาวัลย์ที่ตัวเองเลือกตัดและม้วนมาอย่างเรียบร้อย ลงพื้นดังโครม

“เหลือดีกว่าขาด เถาวัลย์มีเยอะแยะทมไป”

“แล้วตาโส่ยกะไอ้แปะ ไปกันยันไหนป่านนี้ยังไม่โผล่”พรานเบร้องถาม

“โน่น..อยู่ทั้งฟากกะโน้น”

“เห็นตัดมาได้หลายม้วนอยู่ เดี๋ยวก็คงมา โน่นไงมากันแล้ว”พรานพรร้องบอกไม่ทันขาดคำ ก็แลเห็นชายทั้งสองเดินมุดลอดซุ้มเถาวัลย์มาแต่ไกล โดยมีม้วนเถาวัลย์หลายม้วนใส่คานหามแบกกันมาจนไหล่ลู่

“พอหรือยังไอ้เบ”

“ทางโน่นมีเยอะแยะ เส้นสวยๆกำลังดีทั้งนั้น เสียอย่างเดียว รกไปหน่อย”พรานชราร้องบอก พูดจบก็เหวี่ยงคานหามลงพื้นอีกโครม

“น่าจะสูสี เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ไอ้พร เดี๋ยวเอ็งเข้าไปในถ้ำกับข้าก่อน ส่วนคนที่เหลือก็ช่วยกันถักเถาวัลย์เตรียมไว้”

“อันไหนที่เรียบร้อยแล้ว ข้าจะเอาเข้าไปข้างในก่อน พอไม่พอยังไง ไอ้พร เอ็งค่อยออกมาเอาเข้าไปให้ข้าอีก”พรานเบพูดจบก็พยักหน้าเรียกพรานพร จากนั้นก็สะพายม้วนเถาวัลย์ที่เลือกถักเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นบ่าข้างละสามขด ก่อนที่จะเดินดุมๆเข้าไปในปากถ้ำ พร้อมกับพรานพร ที่ตอนนี้ไหล่ทั้งสองข้างก็ไม่ว่างเช่นกัน

          ไม่กี่อึดใจหลังจากส่องไฟคลำกันมาในความมืด ชายทั้งสองก็มาถึงขอบปากเหวภายในถ้ำนั้น หลังจากตัดปัญหาเรื่องเชือกที่จะใช้ไต่ลงไปได้ เพราะได้แก้ไขปัญหาด้วยการใช้เถาวัลย์ขึ้นมาทดแทนจนเบาใจ ไม่ต้องถามหาตอไม้หรือรากไม้ที่จะใช้ผูกทำหลักเพราะไม่มี ครั้นจะออกไปตัดไม้เสี้ยมปลายแล้วตอกทำหลักก็คงจะยาก เพราะพื้นที่ยืนอยู่มีแต่หิน แต่ยังดีที่พอจะอาศัยแง่หินขนาดใหญ่ ที่โผล่ออกมา ผูกแทนหลักได้อย่างแข็งแรง

          พรานเบขมวดขดเถาวัลย์วนรอบแง่หินนั้นอยู่หลายรอบ จนแน่ใจว่าแน่นหนาและไม่มีโอกาสที่จะเลื่อนหรือคลายหลุดออกมาเสียก่อน โดยมีพรานพรคอยคลี่ม้วนขนเถาวัลย์ให้ ซึ่งแต่ละขด ที่แบกกันมาจนไหล่แทบหลุด ยาวเป็นสิบวา อย่างสั้นที่สุดก็แค่หกวากว่าๆ พรานพรรับหน้าที่ต่อเส้นเถาวัลย์เหล่านั้นเข้าด้วยกันจนเป็นเส้นยาวดูแน่นหนาและแข็งแรงด้วยความชำนาญ หลังจากทดสอบโดยการดึงจนแน่ใจว่า เงื่อนที่ตัวเองผูกไว้ จะไม่หลุดออกมา จึงร้องเรียกพรานเบเพื่อดำเนินขั้นตอนต่อไป

“เรียบร้อยโว้ยไอ้เบ”

“ทางเอ็งเสร็จหรือยัง”พรานพรร้องบอกพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังนั่งงมอยู่ตรงแง่หิน ที่ตัวเองใช้เป็นหลักยึดเส้นเถาวัลย์

“เออจวนแล้ว”

“ขอผูกตรงนี้อีกหน่อย”พรานเบร้องตอบ

          หลังจากมะรุมมะตุ้มอยู่กับหลักแง่หินอยู่อึดใจ พรานเบก็เดินส่องไฟตรวจเส้นเถาวัลย์ ที่พรานพรผูกต่อกันไว้อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีส่วนไหนผิดพลาด เพราะถ้าหากพลาดขึ้นมา ก็ไม่มีสิทธิที่จะแก้ตัว เดินส่องไฟอยู่หลายรอบจนแน่ใจ ทั้งสองพรานจึงช่วยกันม้วนเก็บเส้นเถาวัลย์อีกครั้ง จนเป็นวงขนาดใหญ่ จากนั้นจึงช่วยกันกลิ่งม้วนเถาวัลย์ลงไปที่บริเวณปากเหว ซึ่งมีลักษณะเป็นทางลาดต่ำลงไป ไม่กี่อึดใจหลังจากม้วนเถาวัลย์กลิ่งลงไปจนฝุ่นตลบ รวมถึงเสียงกรวดหินดินทราย ร่วงพรูดัง ซ่า ไม่นานเส้นเถาวัลย์ทั้งเส้นก็อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

“เอ็งแน่ใจนะไอ้เบ”

“ให้ข้าไต่ลงไปเป็นเพื่อนเอ็งดีมั๊ย”พรานพรร้องถามพรานนำทางอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นพรานเบทำท่าเงื้อง้างเส้นเถาวัลย์เหมือนจะไต่ลงไปเดี๋ยวนั้น

“เอ็งอยู่ข้างบนน่ะดีแล้ว”

“ไต่ลงมาทีเดียวสองคน ข้ากลัวเถาวัลย์มันจะรับไม่ไหว ขาดเข้าจะยุ่งเอา”พรานเบร้องตอบ

“แล้วแต่เอ็งแล้วกัน”

“โชคดีโว้ย ระวังด้วย ไม่ต้องรีบ”พรานพรร้องเตือนอย่างเป็นห่วง พรานเบไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้ารับ ก่อนที่จะค่อยๆสาวไต่เส้นเถาวัลย์เส้นนั้นลงไปตามทางลาดชั้นทีละน้อยทีละน้อย โดยมีพรานพรคอยส่องไฟให้ด้วยใจระทึก

          นอกจากเส้นทางที่ลาดชันจะเป็นอุปสรรคแล้ว ลักษณะของพื้นที่ ที่เหยียบก็มีความร่วนจนเท้าเหยียบไม่ค่อยอยู่ ราวกับกองหินกองทรายที่ถูกรถบรรทุกมาเททิ้งไว้เป็นภูเขา เหยียบไปตรงไหนก็ยุบและไถลลื่นตรงนั้น เศษดินเศษหินร่วงกรูหายลงไปในความมืดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังขีดสุด จนพรานพรที่ยืนลุ้นอยู่ด้านบน ถึงกับเหงื่อท้วมเพราะความหวาดเสียว ต้องร้องบอกให้ระวังอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดพรานเบก็ไต่มาถึงบริเวณที่พบนาฬิกาของสิงห์จนได้ ซึ่งตอนนี้มันค้างติดอยู่บนแง่หินที่โผล่ออกมา

“ของไอ้สิงห์จริงๆ”

“สงสัยจะขาดตอนมันกลิ้งตกลงมา”พรานเบร้องบอกอย่างตื่นเต้น 

“เดี๋ยวข้าจะโยนขึ้นไป”

“เอ็งคอยเก็บให้ดีก็แล้วกัน”พูดจบก็เหวี่ยงนาฬิกาข้อมือของสิงห์ขึ้นไปสุดแรง เพราะระยะที่อยู่ต่ำลงไป ไม่มากนัก จึงไม่ยากที่นาฬิกาเรือนนั้นจะลอยไปตกอยู่หลังพรานพร

“ขาดจริงๆอย่างที่เอ็งว่านั้นล่ะ สายมันหายไปข้างหนึ่ง”

“เสียดายหน้าปัดแตกไปเสียแล้ว เข็มไม่กระดิกเลย สงสัยจะพัง”พรานพรร้องตอบ หลังจากส่องไฟฉายสำรวจนาฬิกาของสิงห์ ซึ่งตอนนี้กระจกหน้าปัดแตกละเอียด

“เดี๋ยวข้าจะไต่ไปตรงตะพักที่เห็นอยู่นั่น”

“คงจะรู้ว่าต้องต่อเส้นเถาวัลย์อีกหรือเปล่า”พรานเบร้องบอก หลังจากดึงไฟฉายออกมาจากย่าม แล้วส่องกราดสำรวจ จนพบตะพักหินขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ต่ำลงไปอีกเป็นสิบวา

“ระวังก็แล้วกัน”

“เห็นท่าไม่ค่อยดีก็อย่าไปเสี่ยง”พรานพรร้องบอก พลางส่องไฟไปที่พรานเบ ซึ่งตอนนี้ยังพอมองเห็นพรานนำทางอยู่

          ท่ามกลางความเงียบที่ไร้การโต้ตอบใดๆจากชายทั้งสอง และความมืดมิด ทำให้เสียง ออดแอด ของเส้นเถาวัลย์ที่รัดจนตึงเปรี๊ยะ ที่ลั่นออกมานานๆครั้ง ทำให้พรานที่เฝ้ามองอยู่ด้านบน ต้องคอยส่องไฟดูเป็นระยะๆ โดยเฉพาะส่วนที่ระถูไปกับพื้น ซึ่งจะต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นจุดเสียงที่จะขาดมากที่สุด จนพรานพรถึงกับยอมลงทุนถอดเสื้อของตัวเองนำมาพันรอบเส้นเถาวัลย์บริเวณนั้นอีกที เพื่อลดแรงเสียดสีของเส้นเถาวัลย์ เวลาผ่านไปหลายนาที พรานเบก็ไต่ไปยังตำแหน่ง ที่ตัวเองหมายตาไว้ได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งอกของพรานพร จนถอนหายใจออกมาดังเฮือก

“เป็นไง”

“พอหรือเปล่า”พรานพรป้องปากร้องถาม

“ไม่ถึง สงสัยจะต้องเอามาต่อเพิ่มอีก”

“เอ็งออกไปเอาเถาวัลย์มาอีกก็แล้วกัน หาใครมาช่วยแบบอีกสักคนสองคนก็พอ เดี๋ยวข้าจะรออยู่ตรงนี้”พรานเบตะโกนบอก พลางโบกไฟฉายไปมาเป็นสัญญาณ

“จะเอาแบบนั้นเรอะ”

“เอ๊า! เอ็งรอข้าหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”พรานพรตะโกนบอก พูดจบก็รีบเดินดุ่มๆไปที่ปากถ้ำ โดยปล่อยให้พรานเบอยู่ในถ้ำนั้นโดยลำพัง ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงขวัญหนีดีฟ่อ เมื่อต้องมาอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด ทำให้พานคิดวิตกไปต่างๆนานา แต่สำหรับพรานเบ ที่มีจิตใจแน่วแน่ เขากลับไม่รู้สึกหวาดหวั่นสิ่งใดๆทั้งนั้น ที่คิดและวิตกตอนนี้มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นก็คือ ชีวิตและความปลอดภัย ของเพื่อนร่วมทาง ซึ่งอาจจะรอคอยความช่วยเหลืออยู่เบื้องล่างก็เป็นได้

“เอ็งอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลยนะไอ้สิงห์”

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเอ็ง ข้าจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเลยตลอดชีวิต”พรานเบรำพึงกับตัวเองคนเดียวอยู่ในใจ ท่ามกลางความมืดมิด ที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้าน มี
เพียงแสงสว่างของไฟฉายในมือเท่านั้น ที่กลายเป็นเพื่อนปลอบใจในเงามืด ซึ่งตอนนี้มันส่องแสงสว่าง พาลำแสงต่ำลงไปอย่างไม่มีจุดที่สิ้นสุด....

*****การเดินทางยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 5
ภาพที่ 2
น่าจะผีเสื้อกลางคืน(ดูจากหนวด) ตัวใหญ่มากครับน้าๆ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 5
ภาพที่ 3
เจ้าเคิ้งในมุมเทห์ๆ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 5
ภาพที่ 4
พ่อครัวหัวเห็ด ทำไว้ก่อน กินได้ไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกที
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 5
ภาพที่ 5
ทริปเมื่อ 3 ปีก่อน คนไปกันเยอะ ระเบียงบ้านเลยกลายเป็นราวตากผ้าซะ...

นับถอยหลังแล้วสินะ คงอีกไม่นานเกิดรอเราคงได้พบกันอีก นะกระท่อมน้อยคอยรัก เอิ๊กๆ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 5
ภาพที่ 6
คิดถึงปลาเผา ตัวใหญ่ๆจัง ซี๊ดดด...
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024