รำพึง..รำพัน..ถึง..
ปลาหมอไทย
ในวันสิ่งแวดล้อมโลก
ใคร
ที่เคยตกปลาด้วยคันไม้ไผ่สมัยเด็กๆคงพอจะจำกันได้ว่า ปลาครูที่ตกได้ในสมัยนั้น มักไม่พ้น ปลาหมอไทย ซึ่งมีอยู่ชุกชุมทุกแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในชนบทแถบภาคกลาง เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูทำนา ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล น้ำขังนา ต้นกล้าตั้งลำกลายเป็นต้นข้าวเขียวขจี ภายใต้ผืนน้ำในท้องนาปลาหมอไทยก็จะเจริญเติบโตควบคู่กันไปด้วย และจะเป็นชนิดปลาที่มีมากกว่าปลาชนิดอื่นๆ นาแปลงไหนน้ำลึก เดินหย่อนเบ็ดลงไปในหว่างกอข้าวแล้วละก็รับรองไม่ผิดหวัง วัดกันเพลิน..เดี๋ยวตัว..เดี๋ยวตัว ยิ่งเมื่อถึงหน้าข้าวออกรวง จะได้ยินเสียง จ๋อม..จ๋อม..อยู่ทั่วไปในนาข้าว ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ปลาหมอมันโดดกินข้าวรวง ก็เคยลงทุนถึงขนาดลงนอนเฝ้าดูจากบนคันนา ก็เห็นมันโดดขึ้นตามรวงข้าวจริงแต่ไม่แน่ใจว่ามันโดดกินข้าวรวงหรือแมลงที่มาเกาะรวงข้าวกันแน่ ก็เลยพิสูจน์ด้วยการเดินลุยลงไปในนา ตรงที่มันโดดก็พบว่าบริเวณปลายรวงข้าวที่โน้มลงใกล้น้ำมักมีปลายโกร๋นไม่ค่อยมีเมล็ดข้าวติดอยู่ แสดงว่าคนสมัยก่อนช่างสังเกตแล้วนำมาถ่ายทอดเล่าสู่ให้ลูกหลานฟัง
เมื่อ
เอ่ยถึงการหย่อนเบ็ด ก็ต้องพูดถึงสิ่งที่คู่กันคือ..เหยื่อ..ซึ่งเหยื่อที่ใช้ตกปลาหมอไทยในสมัยก่อนก็หาเอาง่ายๆ ตามธรรมชาติที่มีอยู่รอบๆตัวตามแต่สถานะการณ์ ถ้าไม่นับเหยื่อไส้เดือน ที่เป็นเหยื่อครอบจักรวาลมาแต่โบราณแล้ว ก็มีกุ้งฝอยที่หาช้อนเอาได้ง่ายหรือไม่ก็หาขุดแมลงแกลบตามกองแกลบ บางครั้งก็ไล่จับตั๊กแตน หรือแมงมุมตัวลายเทาดำ ตามชายคาบ้าน (บ้านชนบทสมัยก่อนมักมุงด้วยหลังคาจาก หุงหาด้วยเตาฟืน เจ้าแมงมุมพวกนี้ชอบมาชักใยตามชายคาโรงครัว จะสังเกตเห็นง่ายเพราะเขม่าไฟจะไปจับเส้นใย ก็เลยเห็นตัวได้ง่าย
เอ..มันจะเกี่ยวกันไหมเนี่ยะ..) ..แต่เหยื่อที่ปลาหมอไทยชอบมาก..ที่สุด.. จะเรียกว่า เหยื่อยอดนิยม หรือเหยื่อหมาน หรือเหยื่อสูตรก็ได้ ก็คือ..ปูนาที่กำลังจะลอกคราบ หรือที่เรียกว่า..ปูสองกระดอง (ห้ามพิมพ์ตกหล่น)กับแมงมุมสีทองที่ชักใยอยู่ตามยอดกอข้าว สำหรับปูนานั้นจะหาได้ง่ายในช่วงต้นฤดูทำนาที่ต้นข้าวยังเขียวอยู่หรือในช่วงทำนาตอนแรก เวลาเดินไปตามคันนาสายตามักจะสอดส่ายหาแต่ปูนา ถ้าเจอปุ๊บ รีบไล่คว้ามาแหวกดูตรงระหว่าง..ขากับกระดอง ( ต้องพิมพ์ แยกไว้ เดี่ยวผิดความหมาย) ถ้าเห็นรอยเนื้อแยกขาวๆหรือมีกระดองอีกชั้นแสดง่าใช้ได้ ถ้าไม่ชำนาญก็ต้องใช้วิธีหักปลายขาดูให้แน่ใจว่ามีเนื้ออีกชั้นหนึ่ง ที่สังเกตคือจะมีน้ำนมขาวๆไหลออกมาให้เห็น เอาเฉพาะเนื้อที่ขาแต่ละขามาใช้ได้คุ้มค่าที่สุด (ตัวปล่อยมันไป เดี๋ยวมันไปงอกใหม่ สงสาร)ส่วนแมงมุมสีทอง(ลายสลับดำ)มักจะมีในช่วงที่ต้นข้าวและรวงข้าวกำลังกลายเป็นสีทอง( เริ่มแก่) เวลาจะจับก็ต้องเดินลุยลงไปในนาข้าว แต่มีเทคนิคอยู่นิดตรงที่ควรเดินย้อนแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในตอนเย็นเพราะจะเห็นเส้นใยสะท้อนแสงแดด ทำให้เห็นตัวได้ง่าย เจ้าแมงมุมชนิดนี้จะมีลายสีทองสลับดำ กลมกลืนกับต้นข้าวมาก ข้อควรระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ ในช่วงแดดเหลืองตอนเย็นๆ เจ้างูแมวเซา ซึ่งมีสีคล้ายต้นข้าวก็ชอบที่จะออกมานอนผึ่งแดดอยู่ตามยอดกอข้าวเช่นเดียวกันด้วย.
ปลา..หมอไทย เป็นปลาที่เนื้อมีรสชาติดี แต่ต้องระวังก้างเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเด็กๆ ปลาหมอที่อยู่ในนาในช่วงที่ข้าวเริ่มจะแก่ ตัวจะอวบอ้วน ออกสีเหลืองๆตามไปด้วย ปลาหน้านี้จะกินอร่อยมีมันมาก(ก็คงกินข้าวจนตัวเหลืองน่ะแหละ) ไม่ว่าจะนำไปทำกินแบบลูกทุ่งง่ายๆด้วยการเอาไปย่างทั้งตัวแล้วลอกเกร็ดจิ้มกับน้ำปลาพริกกินกับข้าวร้อนๆ หรือนำมาล้างๆเทใส่หม้อ ใส่เกลือต้มเค็มทั้งเกล็ด เวลาจะกินก็ลอกเกล็ดเอาแต่เนื้อขาวๆคลุกข้าวกับน้ำพริกกะปิแซบๆ เท่านี้ก็อร่อยอย่าบอกใครแล้ว ..ซี้ด..นึกถึงแล้วน้ำลายไหล.. หรือจะให้หรูขึ้นหน่อยก็ต้องโน่น นำมาขอดเกล็ด ตัดครีบ ตัดหัว ตัดหางแล้วบั้งซักหน่อย นำลงคลุกกับกระเทียม เกลือ พริกไทยตำละเอียด เอาลงทอดไฟอ่อนๆ อ้อ ในสมัยก่อนน้ำมันที่ใช้ทอดจะใช้น้ำมันหมูเจียว แล้วแยกกากหมูไว้ต่างหาก เมื่อทอดปลาจนเกือบเหลือง ก็เอากระเทียมที่สับไว้หยาบๆต่างหากใส่ลงไปพร้อมกับกากหมูเจียว พอกระเทียมเหลืองกรอบ ดำบ้างนิดๆได้ที่ก็ตักขึ้น เชื่อไหมครับว่าบ้านไหนก็ตามถ้ามีเด็ก ไอ้ที่แย่งกันเจี๊ยว จ้าว กลับเป็นน้ำมันทอดปลาที่มีกากหมู กากกระเทียมเอาไปคลุกข้าวร้อนๆ เหยาะน้ำปลาอีกนิด ซัดกันพุงกลาง..เนื้อปลาไม่สน.. (ก็เข้าทาง..ผู้ใหญ่ ไปเท่านั้นเอง) ถ้าวันไหน..หะรู
หะรา..มีลาภปากมากหน่อย ก็ได้กินแกงฉู่ฉี่ปลาหมอ ซึ่งแน่นอน ของโปรดของเด็กๆก็คือ น้ำแกงข้นๆคลุกข้าวราดน้ำปลาหน่อย (น้ำปลาอีกแล้ว
แทบทุกรายการ) ส่วนเนื้อปลา..เหมือนเดิมผู้ใหญ่เอาไป ถ้าโชคดียิ่งขึ้นไปอีก ก็อาจมีไข่เจียวทอดปนกากหมูแถมให้อีกอย่าง ..วันนั้น..จุก..
อ้อ..สำหรับรายการทอดกับแกงนี้ ควรใช้ปลาตัวโตหน่อยถึงจะดี
ยิ่งนึกยิ่งหิวข้าว..
เอ
นี่เรา..รำพึงถึงปลาหมอ
หรือ..รำพันถึงเรื่องกินกันแน่หว่า
ชักไม่แน่ใจ
เมื่อ.. มาถึง ณ.จุดนี้ ผมก็ได้แต่ถามตัวเองว่า ปัจจุบัน ความอุดมสมบูรณ์ที่มีอยู่มันหายไปหรืออย่างไร ลองๆคิดดูแล้วมันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเมื่อก่อนเราทำนากันปีละครั้ง คือมีแต่นาปี โดยอาศัยฟ้าฝนตามฤดูกาลเท่านั้น แต่ปัจจุบันเราสามารถมีน้ำทำนาปรังกันได้ทั่วไป นั่นแสดงว่าเราน่าจะมีความสมบูรณ์ดีขึ้น แล้วบรรดาสัตว์น้ำและฝูงปลาที่เคยมีอยู่อย่างชุกชุมมันหายไปไหนหมด โดยเฉพาะปลาหมอไทยซึ่งแต่ก่อนจะพบได้ในผืนนาหน้าน้ำอยู่ทั่วไป หรือคราวใดที่ฝนตกใหญ่ในต้นฤดูก็สามารถที่จะพบเห็นปลาหมอไทยกระเสือกกระสนว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อที่จะไปหาแหล่งน้ำดำรงค์ชีวิต ขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ตามท้องนาหรือตามบ่อนาเลย แม้แต่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติใหญ่ๆก็ยังหาทำยายาก นี่ขนาดปลาหมอไทยที่จัดว่าเป็นปลาที่มีความอดทนสามรถอาศัยอยู่ได้ในแทบทุกสภาพน้ำก็ยังแทบเสื่อมสลาย หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุที่เกิดจากผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ท้องนาที่บรรดาสัตว์น้ำปลา ปูเคยอาศัยเจริญวัยนับวันจะเต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง ในน้ำเองก็ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีต่างๆ น้ำเสียจากชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรมรุกรามไปตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ก่อให้เกิดผลกระทบแบบลูกโซ่ถึงกันไปหมด เราอาจจะมีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์แต่จะมีประโยชน์อะไรที่แหล่งน้ำมีแต่สิ่งปนเปื้อนไม่สามารถใช้เป็นที่ดำรงชีวิตของสัตว์น้ำต่อไปได้ สิ่งที่ตามมาก็คือการสูญเสียทรัพยากรสัตว์น้ำ แล้วต่อจากนั้นเราก็จะเริ่มสูญเสียสมดุลย์ตามธรรมชาติ และเมื่อถึงตอนนั้นมันก็อาจจะสายเกินไปที่จะช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมให้กลับมาเหมือนเดิมได้อีกต่อไป นั่นก็หมายถึงไม่มีคำว่าปลาหมอไทย และอาหารรสอร่อยเช่นปลาหมอเผา,ต้มเค็ม,ทอดกระเทียมพริกไทยหรือแกงฉู่ฉี่ ให้ต้องมานั่งรำพึง รำพันถึง อีกต่อไป.